2 มิถุนายน 2548 – นายสาธิต ศิริรังคมานนท์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการเปิดตัว BOI Indian Desk หรือ โต๊ะอินเดียของบีโอไอ ว่า เพื่อให้การดำเนินงานชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศ และการส่งเสริมนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ สอดรับกับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก บีโอไอจึงได้ตั้งโต๊ะอินเดียขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั้งของอินเดียในไทย และการลงทุนไทยในอินเดีย
“ บทบาทของภาครัฐและเอกชนไทยในวันนี้ จะต้องก้าวเข้าสู่ระดับนานาประเทศมากขึ้น เพราะการแข่งขันด้านการตลาดมีความรุนแรงมาก และวันนี้ก็เป็นนิมิตหมายอันดีที่ภาครัฐโดยบีโอไอได้มีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนไทยได้มีโอกาสขยายตัวทางด้านการค้า และการลงทุนไปยังประเทศอินเดีย แม้ว่านักลงทุนจากจีนจะเข้าไปบ้างแล้ว แต่ตลาดในอินเดียตอนนี้ยังถือว่าเปิดโอกาสให้เราอยู่ “ นายสาธิตกล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมหลักๆ ที่เป็นโอกาสของนักลงทุนไทย คือ อุตสาหกรรมเกษตร และเกษตรแปรรูป สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหรกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
ทั้งนี้ บีโอไอได้จัดจ้างบริษัท เนนวิรัท อินเตอร์เนชั่นแนล บิสสิเนส จำกัด เป็นที่ปรึกษา และดำเนินงานด้านการชักจูงการลงทุน ซึ่งมีการตั้งสำนักงานตัวแทนทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และในกรุงนิวเดลี
ก่อนหน้านี้ บีโอไอไดจัดตั้งโต๊ะสำหรับดูแลและชักจูงการลงทุนจากกลุ่มประเทศสำคัญๆประกอบด้วย โต๊ะญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป จีน และโต๊ะอาเซียน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบีโอไอรับผิดชอบดูแลการดำเนินงานของแต่ละโต๊ะ ร่วมกับทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละประเทศ
ด้านนายอเนน อึ้งอภินันท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศอินเดีย ถือเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยอินเดียยังมีวัตถุดิบอีกมากที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อไทยในอนาคต ในการที่จะนำเข้ามาเพื่อผลิตสินค้าต่อเนื่องของไทยได้อีกมาก ดังนั้นเมื่อมีการทำ FTA ระหว่างกัน ถือว่าไทยน่าจะได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในการเจาะตลาดของอินเดีย ทั้งนี้นักธุรกิจไทยไม่ควรที่จะมองข้ามตลาดอินเดีย และควรเริ่มหันมาให้ความสนใจและเริ่มทำการค้ากับนักธุรกิจอินเดียมากขึ้น
สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทย-อินเดีย มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยในปี 2547 มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่าขึ้นเป็น 2,049 ล้านเหรียญ และในปี 2548 นี้ คาดว่ามูลค่าการค้ารวมจะเพิ่มขึ้นถึง 2,900 ล้านเหรียญได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทย มีความรู้ความเข้าใจในตลาดอินเดียน้อยมาก เมื่อเทียบกับตลาดประเทศอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องมาจากความเข้าใจของผู้ประกอบการไทย ที่เห็นว่าประเทศอินเดียมีเงื่อนไขต่างๆ มาก ทั้งในเรื่องภาษีนำเข้าสูง ภาษีที่มีมากและซ้ำซ้อน กำลังซื้อของตลาดมีน้อยเป็นต้น