งานวิจัยตลาดคอนโดมิเนียม ภายใต้ชื่อ “คอนโดมิเนียม โฟกัส”
เนื่องด้วย บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำรายงานการวิจัยตลาดคอนโดมิเนียมขึ้น โดยมีเนื้อหาครอบคลุม ตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพฯ และ คอนโดมิเนียมตากอากาศในหัวหินและภูเก็ต ที่มีราคาห้องชุดสูงกว่า 2 ล้านบาท โดยไรมอน แลนด์จะจัดทำรายงานการวิจัยเพื่อเผยแพร่ โดยไม่คิดมูลค่า และจะเสนอทาง เว็ปไซต์ไรมอนแลนด์ www.raimonland.com หรือติดต่อมาทางแผนกวิจัย บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน)
ตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพฯ
ตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพฯในไตรมาสแรกของปีนี้ ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีอัตราการเติบโตที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีจำนวนห้องชุดออกจำหน่าย เป็นจำนวน 950 ห้อง จาก 5 โครงการ เทียบกับไตรมาสที่สี่ ปี 2547 ที่มีจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายถึง 2,155 ห้อง จาก 8 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมทั้งตลาดตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบันเป็นมูลค่า 63,900 ล้านบาท
จากจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2546 ถึงปัจจุบัน สุขุมวิทเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายสูงสุด คิดเป็น 42% ของทั้งหมด ในขณะที่ สีลม/สาทร มีจำนวนห้องชุดออกจำหน่าย เป็นอันดับที่สองในสัดส่วน 22% ตามด้วยบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งด้วยสัดส่วนที่สูงถึง 21% ในขณะที่ ลุมพินี/วิทยุ มีสัดส่วนที่ 10% แต่เป็นโครงการระดับสูงแทบทั้งสิ้น ส่วนพื้นที่พระราม3 มีสัดส่วนอยู่ที่ 5% จากผลการสำรวจอัตราจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายในบริเวณ สุขุมวิท และ สีลม/สาทร มีอัตราส่วนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับที่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา และ ลุมพินี/วิทยุ ซึ่งมีอัตราส่วนเพิ่มขี้น ในไตรมาสแรกของปีนี้มีห้องชุดออกจำหน่ายทั้งหมด 950 ยูนิต โดยย่านลุมพินี/วิทยุ เป็นพื้นที่ที่มีจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายมากที่สุด ถึง 312 ยูนิต พระราม3 มียอดจำหน่าย 294 ยูนิต สุขุมวิท 236 ยูนิต ในขณะที่สีลม/สาทรมีห้องชุดออกจำหน่าย 108 ยูนิต และริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีห้องชุดออกจำหน่ายในไตรมาสนี้
นับตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน อัตราส่วนของราคาห้องชุดออกจำหน่ายที่มีจำนวนสูงสุดจะอยู่ในระดับราคาประมาณ 2 – 5 ล้านบาท ถึง 45% ในขณะที่ห้องชุดระดับราคา 5 – 8 ล้านบาทมีสัดส่วนเป็นลำดับรองลงมา คืออยู่ที่ 26% ส่วนห้องชุดระดับราคา 8 – 10 ล้านบาท และระดับราคา 10 – 15 ล้านบาท มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันคือ 12% และ 11% ตามลำดับ และสุดท้ายที่ระดับราคาตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนที่ 7% จากการสำรวจในไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่าอัตราส่วนของห้องชุดออกจำหน่ายที่ระดับราคา 2 – 5 ล้านบาทมีระดับที่เพิ่มขึ้นคืออยู่ที่ 560 ยูนิตจากจำนวนห้องชุดที่ออกจำหน่ายทั้งหมด 950 ยูนิต
ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ราคาเฉลี่ยของห้องชุดออกจำหน่ายต่อตารางเมตรอยู่ที่ 72,541 บาท ซึ่งคงที่เมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาสที่ 4 ปี 2547 แต่เมื่อนำไปเทียบกับสิ้นไตรมาสที่ 4 ปี 2546 จะพบว่าราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรมีอัตราที่สูงขึ้นถึง 18% ซึ่งมีสาเหตุมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ บริเวณลุมพินี/วิทยุ ยังเป็นพื้นที่ที่มีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงที่สุด คืออยู่ที่ 98,879 บาท ตามด้วยสีลม/สาทรที่ 74,922 บาท สุขุมวิทที่ 71,314 บาท ริมแม่น้ำที่ 63,224 บาท และ พระราม 3 ที่ 58,781 บาท พื้นที่ริมแม่น้ำเป็นพื้นที่ที่ราคาต่อตารางเมตรเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2546 มีอัตราเพิ่มขึ้นถึง46%
จากการสำรวจภาคสนามของฝ่ายวิจัย พบว่าตั้งแต่ ปี 2546 เป็นต้นมา มีจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายทั้งสิ้น 11,831 ยูนิต และ มียอดขายออกทั้งสิ้น 8,040 ยูนิต และคงค้างอยู่ในตลาดอีก 3,791 ยูนิต โดยในไตรมาสแรกปีนี้มียอดขายออก 1,003 ยูนิต ซึ่งเพิ่มหนึ่งเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สี่ ปี 2547 ที่มียอดขายเพียง 711 ยูนิต อัตรายอดขายห้องชุดมีการปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตราอยู่ที่ 68% เมื่อเทียบกับ 64.7% เมื่อไตรมาสที่แล้ว แต่ยังแย่กว่ากลางปี 2547 และ ปี 2546 อัตรายอดขายในไตรมาสที่ 2 ปี 2547อยู่ที่ 72.1% และอัตรายอดขายในไตรมาสที่ 4 ปี 2546 อยู่ที่ 77.8%
ในไตรมาสแรกของปีนี้อัตรายอดขาย (Take-up rate) ในแต่ละพื้นที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ยกเว้นพื้นที่ ลุมพินี/วิทยุ ที่อัตรายอดขายลดลงเนื่องจากมีจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายมาก ทำให้อัตรายอดขาย ในไตรมาสที่ 4 ปี 2547 ลดลงจาก 71.6% เป็น 67.2% ในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ โดยสิ้นไตรมาสที่ 1 ปีนี้ บริเวณ สีลม/สาทร มีอัตราความต้องการสูงสุดถึง 79.6% เนื่องจากมีจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายเพิ่มเติมน้อย ส่วนบริเวณสุขุมวิทก็มีอัตราที่สูงขึ้นเช่นกัน คืออยู่ที่ 74.9%
จำนวนห้องชุดคงค้างตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันมีจำนวนคงที่ที่ประมาณ 3,500 ถึง 4,000 ยูนิต ซึ่งตลาดจะต้องใช้เวลาจำหน่ายออกเป็นเวลา 10 – 12 เดือนถ้าไม่มี ห้องชุดออกจำหน่ายเพิ่มเติม โดยในจำนวนห้องชุดคงค้างทั้งหมดมีห้องชุดถึง 2,161 ห้องที่ยังไม่มีการดำเนินการก่อสร้างอาคารซึ่งนับเป็น 57% ของห้องชุดคงค้างทั้งหมด
จากจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมที่ออกจำหน่ายทั้งหมด 79 โครงการนับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมาพบว่า มีจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีอัตรายอดขายที่เกินกว่า 80% มากถึง 36 โครงการ คิดเป็น 45.57% ของจำนวนโครงการทั้งหมด เพิ่มขี้นจากไตรมาสที่แล้วที่มีโครงการคอนโดมิเนียมที่มีอัตรายอดขายเกินกว่า 80% เพียง 31 โครงการ ซึ่งคาดว่าโครงการเหล่านี้จะสามารถปิดการขายเมื่อมีการก่อสร้างชัดเจน โครงการที่มียอดขายตั้งแต่ 51% ถึง 80% มีจำนวนทั้งสิ้น 24 โครงการเท่ากับไตรมาสที่ผ่านมา ไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้โครงการที่มียอดขายตั้งแต่ 21% – 50% มีจำนวนทั้งสิ้น 16 โครงการ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่าน มา ซึ่งมีโครงการในระดับยอดขายเดียวกันที่ 13 โครงการ ส่วนโครงการที่มียอดขายต่ำกว่า 20% มีจำนวน ลดลงเหลือเพียง 3 โครงการ ลดลงจาก 6 โครงการเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา มีห้องชุดสร้างเสร็จทั้งสิ้น 2,971 ยูนิต โดยแบ่งเป็นห้องชุดที่สร้างเสร็จในปี 2547 จำนวน 1,839 ยูนิต และห้องชุดที่สร้างเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2548 จำนวน 1,132 ยูนิต โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีห้องชุดพร้อมโอนทั้งสิ้น 3,072 ยูนิต ซึ่งน้อยกว่าจำนวนที่ควรจะเป็น ซึ่งจากผลการสำรวจภาคสนามพบว่าเกิดจากความล่าช้าในการก่อสร้างของหลายโครงการ โดยฝ่ายวิจัยประมาณการว่าในปี 2549 จะมีห้องชุดสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 3,094 ยูนิต และในปี 2550 อีก 3,826 ยูนิต รวมทั้งสิ้น 11,831 ยูนิต ณ สิ้นปี 2550 โดยแบ่งเป็นพื้นที่สุขุมวิท 42% พื้นที่สีลม/สาทร 21.7% พื้นที่ลุมพินี/วิทยุ 9.6% ริมแม่น้ำ 21.27% และ พระราม3 5.27%
ฝ่ายวิจัยได้แบ่งขั้นตอนการก่อสร้างเป็น 5 ขั้นตอน ขั้นที่หนึ่งคือ ที่ดินเปล่าหรือกำลังปรับที่ดิน ขั้นที่สอง คือ ลงเสาเข็ม และ งานพื้นฐานราก ขั้นที่สาม คือ ก่อสร้างตึก ขั้นที่สี่ คือ ตกแต่งและเก็บงาน ขั้นที่ห้า คือ สร้างเสร็จ ในจำนวนโครงการคอนโดทั้งหมด 79 โครงการ มี 19 โครงการที่สร้างเสร็จคิดเป็น 25% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้น 5 โครงการจากไตรมาสที่แล้ว ในขั้นที่ 4 มีห้องชุดในขั้นตอนนี้ 9% เท่ากับไตรมาสที่ผ่านมา ขั้นที่ 3 มี ห้องชุดอยู่ในขั้นตอนก่อสร้าง 28% และในขั้นที่ 2 ที่ลงเสาเข็ม และงานพื้นฐาน มีสัดส่วน 28% และ ในขั้นตอนแรกมีห้องชุดในสัดส่วน 10% ลดลงจาก 19% ในไตรมาสที่แล้ว
จากการสำรวจในการหาความสัมพันธ์ระหว่างขั้นตอนการก่อสร้างและยอดขายพบว่า โครงการคอนโดมิเนียมที่มีการก่อสร้างไปแล้วจะมีอัตรายอดขายที่สูงกว่า โดยถ้าสร้างเสร็จแล้วหรือขั้นที่ห้าจะมี อัตรายอดขายอยู่ที่ 85.8% ในขณะที่ โครงการที่อยู่ในขั้นที่หนึ่ง จะมีอัตรายอดขาย อยู่ที่ 42.8% โครงการที่มีความชัดเจนในการก่อสร้างจะมีอัตรายอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 78%
แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียม
แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียม จะมีการชะลอตัวลง โดยผู้ประกอบการจะชะลอการออกโครงการใหม่ และจำนวนนักพัฒนาคอนโดมิเนียมจะจำกัดอยู่กับบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และกิจการร่วมทุนข้ามชาติ เนื่องด้วยปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ยอดขายที่ชะลอตัวและปัญหาด้านเงินทุน
โดยโครงการต่างๆจะหันไปพัฒนาตามแนวเส้นทางที่มีระบบขนส่งมวลชนพาดผ่าน ซึ่งจะเป็นนอกตัวเมือง เนื่องด้วยพื้นที่ตัวเมืองมีต้นทุนที่สูงเกินไป เช่น พื้นที่ รัชดาภิเษก, ลาดพร้าว, อ่อนนุช, พญาไท อีกพื้นที่ที่น่าเป็นที่จับตามองคือพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาตามแนวถนนเจริญนคร เนื่องด้วยโครงการสะพานข้ามแม่น้ำสามเส้นที่กำลังจะเกิดขึ้นรวมทั้ง ส่วนขยายของ BTS ที่จะเปิดใช้เร็วๆ นี้ โดยแนวโน้มในปี 48 นี้ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะหันมาพัฒนาโครงการที่มีราคาอยู่ในระดับกลาง ประมาณ 2 – 5 ล้านบาท แต่ตลาดคอนโดมิเนียมระดับสูงก็ยังเป็นที่นิยมเห็นได้จากความสำเร็จจากบางโครงการ เช่น เดอะ อินฟินิตี้ และ แอทธินี เรสซิเด้น ซึ่งมีราคาขายเริ่มต้นที่มากกว่าสิบล้านบาทขึ้นไป แต่ยังถือว่าเป็นตลาดนิชมาร์เก็ตที่มีขนาดเล็ก และต้องการความแตกต่างอย่างมากในหลายๆด้าน
ในด้านราคาต่อตารางเมตรจะมีการขยับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น จะเห็นได้จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ออกมาประกาศว่าจะขึ้นราคาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งบางบริษัทอาจจะไม่ปรับขึ้นราคาแต่จะหันมาใช้กลยุทธ์อื่นแทน เช่น ปรับลดขนาดห้อง หรือ ลดคุณภาพวัสดุก่อสร้าง
ในด้านอุปสงค์เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 1 ในปี 2548 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 4 ในปี 2547 ฝ่ายวิจัยมีความเชื่อว่า โครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีจะยังคงเป็นที่ต้องการสูงของตลาด เนื่องด้วยทั้งนักลงทุน หรือผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยต่างประเมินว่าบางพื้นที่ใจกลางเมืองเริ่มจะหาที่ดินมาพัฒนาไม่ได้ ในขณะที่โครงการที่ห่างจากระบบขนส่งมวลชนจะประสบปัญหาในด้านการขายเนื่องจากไม่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ และเนื่องด้วยความเข้มงวดในการปล่อยกู้ของธนาคาร ทำให้การที่ผู้ประกอบการบางรายที่ไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่ธนาคารกำหนดไว้ไม่ได้รับการอนุมัติเงินกู้ ซึ่งส่งผลให้โครงการนั้นๆอาจเกิดปัญหาและไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้
ทุกพื้นที่ยังคงจะมีอัตรายอดขายในระดับที่สูงยกเว้นริมแม่น้ำ และลุมพินี / วิทยุ ซึ่งมีจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ทำให้จะต้องใช้เวลาในการจำหน่ายออก ซึ่งทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าน่าจะมีการชะลอตัวในจำนวนห้องชุดออกจำหน่ายใหม่ ซึ่งจะมีผลให้โครงการที่ยังมีห้องชุดคงค้างจะสามารถระบายห้องชุดออกไปได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับทำเลและขั้นตอนการก่อสร้างที่ดำเนินการอยู่เช่นกัน
จากผลการสำรวจทางฝ่ายวิจัยพบว่า โครงการที่มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างจะมียอดขายที่สูง ซึ่งจะเป็นการคัดนักพัฒนาให้เหลือเฉพาะที่มีความเป็นมืออาชีพ มีการเงินที่ดี มีความรู้ ความเข้าใจตลาด และ ผลงานจากโครงการที่ผ่านมา ซึ่งนักพัฒนาแบบครั้งคราวจะถูกกันออกจากตลาด โดย อัตโนมัติ
และเนื่องด้วยจำนวนห้องชุดที่สร้างเสร็จเพิ่มขึ้นถึง 1,132 ยูนิต เฉพาะในไตรมาสแรกของปีนี้ จะส่งผลกระทบต่อ ธุรกิจห้องพักให้เช่า และ ตลาดซื้อขายคอนโดมือสอง อย่างแน่นอน
ตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ต
ตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2547 โดยในปัจจุบัน ทั้งตลาดมีมูลค่า 6,240 ล้านบาท จาก 16 โครงการ รวมทั้งสิ้น 589 ยูนิต โดยมี 2 โครงการที่ทำการเปิดตัวหลังจากเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมั่นใจของนักลงทุน และ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต่อตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ต ตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมีความแตกต่างจากตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อย่างชัดเจน โดยโครงการคอนโดมิเนียมในภูเก็ตจะมีขนาดเล็กกว่า เนื่องจากติดปัญหาข้อกฎหมาย เช่น ความสูงของที่ดิน และ ความห่างจากทะเล ซึ่งจะกำหนดความสูงของอาคารที่จะสร้างได้ ทำให้ในแต่ละโครงการจะมีแค่ 30 – 50 ยูนิต ซึ่งมักจะก่อสร้างเป็นอาคารขนาดเล็กหลายอาคาร หรือ ที่เรียกว่า “บูติค อพาร์ทเม้น” โดยในรูปแบบการถือครองก็แตกต่างกันอย่างชัดเจนจากกรุงเทพฯ ลักษณะการถือครองมีสองลักษณะคือ หนึ่ง เป็นแบบซื้อขาด ซึ่งสามารถมีอัตราส่วนต่างชาติได้แค่ 49% และ แบบที่สอง เป็นแบบสัญญาเช่าสามสิบปี
ที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตจำกัดอยู่แต่ วิลล่าหรูราคา ตั้งแต่ 20 – 40 ล้านบาท แต่ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ตลาดคอนโดมิเนียมได้เกิดขึ้นในภูเก็ตและเติบโตอย่างมีต่อเนื่อง และมีการตอบสนองที่ดีจากลูกค้าซึ่งมีราคาระหว่าง 5 – 15 ล้านบาท โดยมากลูกค้าจะเป็นผู้บริหารชาวยุโรปที่ทำงานในเอเชีย
ตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตยังเน้นไปในฝั่งตะวันตกของเกาะซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 59% ของทั้งหมด ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ระบบสาธารณูปโภค และ วิวที่สวยงาม แต่ปัจจุบัน ฝั่งตะวันออกของเกาะได้รับความนิยมมากขึ้น จะเห็นได้ชัดว่า ในไตรมาส4 ปี 2547 ฝั่งตะวันออกมีอัตราส่วนอยู่ที่ 28% แต่ในไตรมาสที่ 1 ปีนี้มีอัตราสูงขึ้นถึง 41% ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากราคาที่ดินที่ถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง รวมทั้งสะดวกในการเดินทาง ใกล้ กับตัวเมืองซึ่งมีโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล และ ห้างสรรพสินค้า ซึ่งคาดการณ์ว่าทางฝั่งตะวันออกจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับแนวโน้มในปีนี้ ห้องชุดระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทจะเพิ่มมากขึ้นในตลาด และ ห้องชุดที่มีราคามากกว่า 15 ล้านบาทจะประสบปัญหาต้องแข่งขันกับตลาดวิลล่า ปัจจุบันราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตอยู่ที่ 55,000 – 65,000 บาท ซึ่งถูกกว่าราคาเฉลี่ยที่กรุงเทพฯอยู่ 20% ซึ่งโครงการที่มีวิวทะเลอันดามันและตั้งอยู่ใกล้หาด โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก จะมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงกว่า 65,000 บาท ซึ่งคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออก จะมีราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้นที่ 39,000 บาท
ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม แต่จากการสำรวจของฝ่ายวิจัยภายใต้ความร่วมมือจาก บริษัทตัวแทนจำหน่ายต่างๆในภูเก็ต พบว่ายอดขายไม่ได้ตกลงหลังจากเหตุการณ์ โดยมียอดขายรวมที่ 59.3% จากจำนวน 16 โครงการในภูเก็ต มีถึง 6 โครงการที่มียอดขายเกิน 80% และโครงการที่มียอดขาย ระหว่าง 51% – 80% ก็มีมากถึง 6 โครงการเช่นเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า 75% ของโครงการทั้งหมดในภูเก็ตมียอดขายมากกว่า 50% ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกถึง สภาวะล้นตลาด หรือตลาดประสบภาวะถดถอย
ตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมีการฟื้นตัวและจะมีโครงการคอนโดมิเนียมไม่น้อยกว่าสิบโครงการออกสู่ท้องตลาด สำหรับตลาดท่องเที่ยว คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหิน-ชะอำ
ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหิน-ชะอำเป็นตลาดที่เน้นคนไทยเป็นหลัก ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจาก ตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศในจังหวัดอื่น ที่เน้นชาวต่างชาติเป็นหลัก โดย 50.4% ของนักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น เช่น ภูเก็ตหรือ พัทยา ซึ่งมีสัดส่วนคนไทยเพียง 10% – 20%
ห้องชุดออกจำหน่ายในเขตหัวหิน-ชะอำ มีทั้งสิ้น 899 ยูนิต จาก 10 โครงการ ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่ชะอำ ถึงเขาเต่า โดยโครงการส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ติดหน้าหาด แต่ปัจจุบันที่ดินที่มีลักษณะดังกล่าวมีจำกัดทำให้โครงการต่างๆ ขยายออกไปทาง ชะอำ และ เขาเต่า ซึ่งยังมีที่ดินติดหาดเหลืออยู่ โดยโครงการในหัวหิน-ชะอำ จะมีลักษณะคล้ายกับโครงการในภูเก็ตที่จะเน้นคอนโดมิเนียมขนาดเล็กหลายอาคารเนื่องจากปัญหาในข้อกฎหมาย
คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ในหัวหิน-ชะอำมีราคาต่อตารางเมตรเฉลี่ยที่ 45,000 – 55,000 บาท แต่ราคาก็อาจจะสูงถึง 60,000 – 70,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และ ทำเล สำหรับคอนโดมิเนียมมือสองบางยูนิตยังสามารถขายได้ถึงตารางเมตรละ 65,000 บาท ถ้าอยู่ในอาคารที่มีการดูแลดี และเป็นตึกสูง เนื่องด้วยตามกฎหมายไม่มีอาคารใหม่ที่สร้างเป็นตึกสูงได้อีก ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่าราคาต่อตารางเมตรในอนาคตจะสูงขึ้นกว่า 65,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับเฉพาะโครงการที่มีทำเลที่ดี ใช้วัสดุดี และมีการจัดการที่ดี
ในสามพื้นที่นี้ ชะอำเป็นพื้นที่ที่มีการเกิดก่อสร้างโครงการมากที่สุด ถึง 47% ตามด้วยหัวหินที่ 44% และท้ายสุด เขาเต่า 9% ซึ่งตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่นเห็นตรงกันว่าบริเวณเขาเต่าจะเป็นพื้นที่ต่อไปที่จะได้รับการพัฒนา
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2548อัตรายอดขายรวมอยู่ในสัดส่วนที่สูงถึง 72% ทำให้มียูนิตคงค้างเหลือแค่ 250 ยูนิต ซึ่งยูนิตที่ขายยังไม่สามารถจำหน่ายออก มักจะเป็นห้องชุดที่ไม่มีวิวทะเล หรือ ขนาดห้องไม่เหมาะสม ปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียม 80% เป็นคนไทย และ มีความต้องการห้องชุดประเภทสองห้องนอน ราคา ประมาณ 3-8 ล้านบาท และในไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2548 จะมีโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการออกสู่ท้องตลาด อาทิเช่น ไพร์มเนเจอร์วิลล่า โบ๊ทเฮ้าส์ และ ชะอำลองบีช จาก ควอลิตี้ เฮ้าส์
ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาจะถูกเพิ่มเติมเข้ามาในรายงานการวิจัยในฉบับหน้าเนื่องจากตลาดเพิ่งเกิดการตื่นตัวหลังความสำเร็จของโครงการนอร์ทชอร์


