สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ร่วมกับ สภาพัฒน์ฯ เสนอผลการสำรวจระดับการเพิ่มผลผลิตและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย พร้อมให้ความรู้และเครื่องมือประเมินองค์กรแ

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดสัมมนาเผยแพร่ร่างรายงานผลการสำรวจระดับการเพิ่มผลผลิตและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับตัวชี้วัดการเพิ่มผลผลิตเชิงมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ประเมินศักยภาพขององค์กรให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วภูมิภาค หวังกระตุ้นผู้ประกอบการเกิดความตื่นตัวนำความรู้และเครื่องมือดังกล่าวไปพัฒนาและเสริมสร้างประสิทธิภาพองค์กร เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ โรงแรมอมารีแอร์พอร์ต ดอนเมือง

นายปณิธาน ยามวินิจ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การพัฒนาระบบเศรษฐกิจของไทยให้สมดุลและแข่งขันได้ จะต้องเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีสมรรถนะสูง (High Performance Economy-HPE) โดยการส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น และมีการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการด้วยฐานของความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งต้องมีการสร้างสภาพแวดล้อมและบรรยากาศการลงทุนของประเทศไทยเพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายการลงทุน ทั้งจากนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนภายในประเทศ โดยเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ก็คือ การที่ประเทศไทยจะต้องมีระบบข้อมูลที่วัดระดับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม (Total Factor Productivity) ของประเทศและของกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ตลอดจนมีข้อมูลและดัชนีชี้วัดบรรยากาศการลงทุนที่สามารถเทียบเคียงกับประเทศคู่แข่ง/คู่ค้าได้ ซึ่งจะทำให้ระดับนโยบายสามารถกำหนดตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศได้ถูกต้อง

ด้าน ดร.พานิช เหล่าศิริรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กล่าวว่า ผลการสำรวจระดับการเพิ่มผลผลิตและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทยจากร่างรายงาน “Investment Climate, Firm Competitiveness, and Growth” ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญธนาคารโลก ระบุว่า บรรยากาศการลงทุนในประเทศไทยนับว่าอยู่ในระดับที่ดีตามมาตรฐานสากล ซี่งอยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ยกเว้นประเทศมาเลเซีย และยังอยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศอินเดียและบราซิลด้วย อย่างไรก็ตามภาคธุรกิจของไทยยังเผชิญปัญหาสำคัญ 3 ด้านที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้แก่ กฎระเบียบภาครัฐ ทักษะแรงงาน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากคือกลุ่มที่มีศักยภาพ ได้แก่ กิจการขนาดใหญ่ ผู้ส่งออก กิจการข้ามชาติ และธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ส่วนภูมิภาคที่มีการก่อตั้งกิจการมากที่สุดทั้งภาคกลางและภาคตะวันออกพบว่ามีบรรยากาศการลงทุนที่ด้อยกว่ากรุงเทพมหานคร ซึ่งหากทั้ง 2 ภูมิภาคนี้มีบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นก็จะช่วยให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัญหาด้านทักษะแรงงาน ซึ่งทำให้เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 15% ของยอดขาย โดยผู้ประกอบการต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมากในการอบรมพนักงานเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ โดยเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ทักษะสำคัญที่ต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วนคือ ภาษาอังกฤษและการใช้เทคโนโลยี (ICT) ซึ่งการขาดทักษะด้านเทคโนโลยีของบุคลากรนี้เองที่ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ขาดความสามารถด้านเทคโนโลยี ยกเว้นในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรกลและอุปกรณ์

ในส่วนของร่างรายงาน “ผลการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลการเพิ่มผลผลิตในประเทศไทยและข้อเสนอเชิงนโยบาย” ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งสิ้น 9 อุตสาหกรรมการผลิต และ 1 ธุรกิจบริการ ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูป อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมยางและพลาสติก อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไม้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ และธุรกิจด้านเทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศ โดยแบ่งพื้นที่การศึกษาออกเป็น 7 ภูมิภาคทั่วประเทศ รวมสถานประกอบการที่ทำการสำรวจทั้งสิ้น 1,518 สถานประกอบการ จากผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำการสำรวจทั้ง 9 กลุ่มมีการเจริญเติบโตด้านยอดขายและการสร้างมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ระยะฟื้นตัว โดยอุตสาหกรรมไทยมีการส่งออกมากขึ้น ในปี 2545 มีการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำรวจ อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมจะดูเหมือนว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น แต่ในด้านการเพิ่มผลผลิตแล้วเป็นไปในทางตรงข้าม นั่นคือ แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตทั้ง 9 กลุ่มจะสามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถควบคุมต้นทุนต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม จึงส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานลดลง ในส่วนของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานแม้จะมากขึ้นเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็เป็นผลมาจากภาระดอกเบี้ยและการจ่ายภาษีที่ลดลง ซึ่งไม่ได้เกิดจากความสามารถที่แท้จริงของภาคอุตสาหกรรมในด้านการบริหารปัจจัยผลิต

นอกจากนี้ การสร้างยอดขายที่มากขึ้นเกิดจากการใช้ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ทั้งแรงงานและสินทรัพย์ที่มากขึ้น ทำให้เกิดความสูญเสียจากการขาดประสิทธิภาพในการบริหารงาน ซึ่งส่งผลให้ระดับการเพิ่มผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมลดลงสวนทางกับการเติบโตของยอดขาย ที่สำคัญคือการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาของประเทศเกิดจากการใช้ทรัพยากรด้านทุนและแรงงานเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากการเพิ่มผลผลิต (Productivity) แต่อย่างใด จึงเป็นที่น่ากังวลถึงความต่อเนื่องของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ดังนั้นการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตของประเทศจึงเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญ

“การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการใช้ทรัพยากรทำให้ผลผลิตเพิ่ม แต่ประเทศไทยไม่อยู่ในสถานะที่จะหาทรัพยากรมาใช้ได้ตลอดไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ พลังงาน แต่แนวทางด้าน Productivity คือเราใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าได้อย่างไร ซึ่งหากประเทศไทยสามารถใช้ทรัพยากรได้เท่าเดิม แต่สามารถผลิตเพิ่มขึ้นได้ นั่นคือความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจากการนำเสนอรายงานผลการสำรวจระดับการเพิ่มผลผลิตและบรรยายกาศการลงทุนในประเทศไทยพร้อมการสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบในครั้งนี้ รวมทั้งอีก 6 แห่งทั่วภูมิภาค สถาบันฯ มุ่งหวังว่าผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์ในการนำข้อมูลมาใช้เป็นดัชนีชี้วัดประเมินระดับการเพิ่มผลผลิตขององค์กรตนเอง และเปรียบเทียบกับความสามารถขององค์กรอื่นและกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น เพื่อวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรในแต่ละด้านให้มีประสิทธิภาพต่อไป ” ดร.พานิช เหล่าศิริรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ดำเนินโครงการการสำรวจระดับการเพิ่มผลผลิตและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย (PICS-Thailand 2003) ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ เดือนมกราคม 2547 ถึงเดือนสิงหาคม 2548 โดยสำรวจข้อมูลจากผู้ประกอบการ 1,518 รายทั่วประเทศ และทำการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลกเป็นร่างรายงานแล้วเสร็จ 2 ฉบับ ได้แก่ “ร่างรายงาน Investment Climate, Firm Competitiveness, and Growth” และ “ร่างรายงานผลการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลการเพิ่มผลผลิตของประเทศไทยพร้อมข้อเสนอเชิงนโยบาย” โดยได้มีการจัดสัมมนาพิจารณ์ภาครัฐไปแล้วเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากได้มีการนำข้อเสนอแนะไปปรับปรุงรายงานดังกล่าวให้ถูกต้องสมบูรณ์ และสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุดทั้งในด้านข้อเสนอเชิงนโยบายและการนำไปปฏิบัติแล้ว ทางสถาบันฯ ได้กำหนดจัดงานสัมมนาเพื่อเผยแพร่ร่างรายงานการสำรวจนี้แก่กลุ่มผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จำนวน 7 ครั้ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคที่ดำเนินการสำรวจ นอกจากนี้ยังจัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับตัวชี้วัดการเพิ่มผลผลิตเชิงมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ประเมินศักยภาพขององค์กร รวมทั้งแนะนำการใช้ Management Cockpit CD ที่ทางสถาบันฯ พัฒนาขึ้นมาให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งนี้เพื่อให้ผลสำรวจสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในวงกว้างและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเกิดความตื่นตัว โดยใช้เครื่องมือดังกล่าวในการเสริมสร้างประสิทธิภาพขององค์กรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากลต่อไป