เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์เผยผลสำรวจครั้งใหม่ ชี้ 54% ของผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจทั่วโลกเลือกที่จะไม่เป็นซีอีโอ

นิวยอร์ก–(บิสิเนส ไวร์)–15 พ.ย.2548 – บริษัท เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ และ Economist Intelligence Unit (EIU) เปิดเผยผลสำรวจทั่วโลกครั้งใหม่บ่งชี้ว่า บรรดาผู้นำธุรกิจยังคงเข้ารับตำแหน่งซีอีโอด้วยความไม่มั่นใจ โดยการวิจัย CEO Capital(TM) ประจำปี 2548 บ่งชี้ว่า ขณะนี้บรรดาผู้บริหารต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับการรับตำแหน่งซีอีโอ โดยผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจทั่วโลกจำนวน 54% บ่งชี้ว่า พวกเขาไม่ต้องการที่จะเป็นซีอีโอหากมีทางเลือก

ซีอีโอในอเมริกาเหนือและยุโรปมีระดับการปฏิเสธสูงที่สุด (64% และ 60% ปฏิเสธข้อเสนอในการรับตำแหน่งซีอีโอตามลำดับ) ผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก (51%) มีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับการรับบทบาทซีอีโอ ขณะที่ผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจในละตินอเมริกามีความเห็นในเชิงลบน้อยที่สุด โดยมีเพียง 27% ที่ไม่ต้องการเป็นซีอีโอ

ทำไมต้องเป็นซีอีโอ

นับเป็นครั้งแรกที่ผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจทั่วโลกถูกถามเกี่ยวกับเหตุผลที่พวกเขาต้องการหรือไม่ต้องการที่จะเป็นซีอีโอ ปัจจัยสำคัญในการเลือกที่จะไม่เป็นซีอีโอได้แก่การขาดความสมดุลในเชิงบวกในด้านงาน/ชีวิต โดยมากกว่า 6 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถาม (64%) ระบุว่า เหตุผลนี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการรับตำแหน่งซีอีโอ ส่วนอุปสรรคอื่นๆที่มีการระบุถึงได้แก่ความยากลำบากในด้านผลประกอบการรายไตรมาส, ความเครียดอย่างต่อเนื่องและการตรวจสอบอย่างละเอียดของสาธารณะ บรรดาผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจทั่วโลกมีแนวโน้มน้อยลงที่จะระบุถึงแรงกดดันที่แท้จริงของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการปฏิเสธไม่รับตำแหน่งซีอีโอ โดยแรงกดดันเหล่านั้นได้แก่ การกำกับดูแลด้านกฎระเบียบ การปรับลดต้นทุน การพัฒนาความสามารถ ความต้องการของผู้ถือหุ้น และการจ้องจับผิดของสื่อ

“ปัจจุบันซีอีโอได้ถูกท้าทายมากขึ้นจากเวลาที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ (time zones) ตลาดทั่วโลก, วิกฤตการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ และกลุ่มผู้ถือหุ้นที่เรียกร้องความสนใจมากขึ้น” ดร.เลสลี เกนส์-รอส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความรู้และการวิจัยทั่วโลกของเบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ และผู้จัดทำการวิจัยนี้กล่าว “บรรดาผู้บริหารไม่ต้องการที่จะเป็นซีอีโอ จนกว่าบริษัทต่างๆจะฝึกผู้นำรุ่นใหม่ให้สามารถปรับสมดุลแรงกดดันด้านงาน/ชีวิตได้ดีขึ้น”

ทำไมต้องเป็นซีอีโอ

แม้จะมีการพูดถึงผลตอบแทน ผลประโยชน์ และเกียรติยศในระดับสูงทั่วโลก แต่ปัจจัยเหล่านี้เป็นเหตุผลที่สำคัญน้อยที่สุดสำหรับผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจทั่วโลกต้องการที่จะเป็นซีอีโอ ส่วนเหตุผลสำคัญสูงสุด 3 ประการสำหรับความต้องการเป็นซีอีโอได้แก่ โอกาสที่จะได้แก้ปัญหาที่ซับซ้อน (56%), ความสามารถในการมีอิทธิพลส่วนบุคคลต่อธุรกิจ (43%) และความพอใจต่อการนำความคิดของพวกเขาไปใช้ (36%) ผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจทั่วโลกจำนวนมากยังระบุถึงการช่วยบริษัทให้พัฒนาจากระดับ”ดีไปเป็นดีเยี่ยม”(33%) และการสร้างบริษัทให้ดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง (26%) ว่า เป็นเหตุผลพื้นฐานสำหรับการรับตำแหน่งซีอีโอ

“ทุกธุรกิจในปัจจุบันมีความต้องการผู้นำที่มีความสามารถ มีจริยธรรม และมีความน่าเชื่อถือ ความลังเลของผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากในการรับตำแหน่งซีอีโอจะยังคงส่งผลกระทบต่อความพยายามที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นโดยรวมในบริษัทต่างๆทั่วโลก” แพทริค ฟอร์ด ประธานฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจ/การเงินทั่วโลกของเบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ กล่าว “ความต้องการผู้นำจะยังคงขยายตัวต่อไป ขณะที่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในด้านธุรกิจทั่วโลกนั้น จะขึ้นอยู่กับความตั้งใจของบรรดาซีอีโอรุ่นใหม่ที่จะยอมรับความเสี่ยง พร้อมที่จะทำงานหนัก และจัดการกับรายละเอียดต่างๆ

การวิจัยครั้งใหม่ของเบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ บ่งชี้ถึงความจำเป็นที่จะต้องมีผู้บริหารที่มีความเต็มใจที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากซีอีโอที่พ้นจากตำแหน่ง ขณะที่เราเห็นอัตราการลาออกของซีอีโอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ซีอีโอของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 1000 ลาออกทุกๆ 2 วันทำการธุรกิจ, www.ceogo.com) ความต้องการที่จะสร้างผู้นำระดับโลกรุ่นใหม่นั้นไม่เคยมากเท่านี้มาก่อน

เกี่ยวกับการวิจัย CEO Capital ประจำปี 2548

เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ ได้จัดทำการวิจัยเกี่ยวกับซีอีโอและชื่อเสียงของธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2540 (www.ceogo.com) การวิจัย CEO Capital ครั้งใหม่ประจำปี 2548 นั้น จัดทำขึ้นใน 65 ประเทศผ่านทางระบบออนไลน์ร่วมกับ Economist Intelligence Unit (EIU) ระหว่างเดือนพ.ค.-ก.ค. 2548 โดยผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจ 685 คนเข้าร่วมซึ่งรวมถึงซีอีโอ ผู้บริหารระดับสูง นักวิเคราะห์ทางการเงิน สื่อธุรกิจ และเจ้าหน้าที่รัฐบาล โดยประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามมาจากอเมริกาเหนือ (26%) ยุโรป (32%) เอเชียแปซิฟิก (32%) และ 1 ใน 10 มาจากละตินอเมริกา (10%) และผู้เข้าร่วมดังกล่าวมาจาก 19 อุตสาหกรรม

เกี่ยวกับเบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์

เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ (www.burson-marsteller.com) ซึ่งก่อตั้งในปี 1953 เป็นบริษัทประชาสัมพันธ์และกิจการของรัฐชั้นนำระดับโลกแห่งหนึ่ง โดยบริษัทให้บริการการคิดเชิงกลยุทธ์และการดำเนินโครงการให้แก่ลูกค้าทั้งในบริการที่ครบถ้วนด้านประชาสัมพันธ์, กิจการของรัฐ, โฆษณาและบริการที่เกี่ยวกับเว็บ เครือข่ายทั่วโลกที่ไร้ขอบเขตของบริษัทประกอบด้วยสำนักงานที่ถือหุ้นทั้งหมด 44 แห่งและสำนักงานของบริษัทในเครือ 49 แห่ง ซึ่งเปิดดำเนินงานใน 57 ประเทศใน 6 ทวีป เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ยัง แอนด์ รูบิแคม ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของดับเบิลยูพีพี กรุ๊ป (NASDQ: WPPGY) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่ายบริการด้านการสื่อสารชั้นนำระดับโลก

เกี่ยวกับ Economist Intelligence Unit

The Economist Intelligence Unit (EIU) (www.eiu.com) เป็นผู้นำในด้านข้อมูลเฉพาะด้านธุรกิจระดับโลก โดยเป็นหน่วยงานด้าน business-to-business ของ The Economist Group ซึ่งตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ The Economist โดย EIU ให้บริการด้านการวิเคราะห์ด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจและธุรกิจในกว่า 200 ประเทศ รวมถึงข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ ในอุตสาหกรรมสำคัญและหลักปฏิบัติด้านการจัดการ และด้วยมืออาชีพกว่า 300 คนในสำนักงาน 40 แห่งทั่วโลกซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยเครือข่ายนักวิเคราะห์มากกว่า 700 คนทั่วโลกนั้น EIU จึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในด้านความครอบคลุมที่ไม่มีใครเทียบเคียงของตลาดที่สำคัญๆและตลาดเกิดใหม่

ติดต่อ: เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
เจนนิเฟอร์ นอร์ตัน, โทร 212-614-5243
อีเมล์: [email protected]
หรือ
อลิซาเบธ วิเซนซิโน, โทร 212-614-5244
อีเมล์: [email protected]