บล.บัวหลวง โชว์ผลประกอบการ Q1/2549 กำไรพุ่ง 104.5%

บล.บัวหลวงไม่หวั่นตลาดหุ้นซบ โชว์ผลงานไตรมาส 1 กำไรสุทธิกว่า 64 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 104.53 ของกำไรสุทธิไตรมาสเดียวกันของปี 48 แม้รายได้ค่านายหน้าจะใกล้เคียงปีที่แล้วโดยยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดให้ทรงตัวที่ระดับ 3.26% รายได้วาณิชธนกิจเพิ่มขึ้นกว่า 90% ในขณะที่ธุรกิจจัดการกองทุนมีขนาดเฉียด 1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าธุรกิจใหม่ SBL และ OTC Derivatives ภายในไตรมาส 4

นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (บล.บัวหลวง) แถลงผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2549 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2549 เท่ากับ 64.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.79 ล้านบาท จากกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2548 คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 104.53 เนื่องจากสาเหตุสำคัญคือ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นจาก 16.03 ล้านบาท เป็น 30.79 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 92.08

“ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลงานการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินจำนวนหลายรายการ เช่น การที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการขายหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ บมจ.เทเวศประกันภัย และการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระของ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น เป็นต้น สำหรับในปี 2549 ที่เหลือนี้ บริษัทได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีก 2-3 บริษัท รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาในการออกและเสนอขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 3 กองทุน โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว 1 รายการ คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน มีมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่าจะมีงานที่ปรึกษาทางด้านการควบรวมกิจการอีกประมาณ 3 รายการ” นายญาณศักดิ์ กล่าว

นายญาณศักดิ์ ชี้แจงต่อว่า บริษัทฯ สามารถรักษาระดับรายได้นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ รักษาส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม เท่ากับร้อยละ 3.26 เปลี่ยนแปลงลดลงเพียงเล็กน้อยจากในไตรมาส 1 ปีที่แล้วที่มีส่วนแบ่งการตลาดเท่ากับร้อยละ 3.29 ทั้งที่ขนาดตลาดนักลงทุนรายย่อยซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัทฯ ในปัจจุบันมีขนาดเล็กลงค่อนข้างมาก สาเหตุหลักมาจากบริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจทางด้านนักลงทุนสถาบัน โดยมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่มลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างชาติ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24.4 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 48 ซึ่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 9.3 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือรับการสนับสนุนงานด้านวิจัยจาก บริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ สถาบันทางการเงินชั้นนำของโลก ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดภายในไตรมาส 4 ของปี 49 ไว้ที่ระดับ 4% จะมุ่งเน้นทำตลาดในกลุ่มนักลงทุน High net worth และนักลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มความร่วมมือทางธุรกิจกับธนาคารกรุงเทพผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

สำหรับธุรกิจการจัดการลงทุนบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายขนาดของกองทุนภายใต้การจัดการเป็น 12,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 10,000 ล้านบาท และบริษัทฯ จะรุกธุรกิจการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) มากขึ้น

นายญาณศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายลดลง ทั้งในด้านค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายในไตรมาส 1 ปี 2549 ที่ลดลง 10.47 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 30.16% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการที่บริษัทไม่มีภาระต้องชำระค่าธรรมเนียมสมาชิกตลาดหลักทรัพย์นับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไป รวมทั้งบริษัทฯ ยังได้รับสิทธิลดหย?อนทางภาษี ตามเกณฑ?การเข?าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทําให้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทต้องจ่ายในปี 2549 นี้ และตลอดอีก 4 ป?ข?างหน?า ลดลงเหลือเพียง 25%

นายญาณศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับธุรกิจอนุพันธ์ บริษัทฯ เป็น 1 ในกลุ่มบริษัทแรกที่พร้อมให้บริการด้านนี้ โดยเริ่มเปิดดำเนินการในวันแรก คือวันที่ 28 เมษายน 2549 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจอนุพันธ์ไว้ที่ 5% นอกจากนี้ภายในไตรมาส 4 ปี 2549 บริษัทฯ มีแผนจะขยายธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) และธุรกิจ OTC Derivatives นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งนายบรรณรงค์ พิชญากร เป็นรองกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนธุรกิจ ดูแลครอบคลุมงานต่างๆ เช่น ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายดูแลการปฏิบัติการและพัฒนาธุรกิจ และฝ่ายทรัพยากรบุคคล เป็นต้น ทั้งนี้นายบรรณรงค์ มีประสบการณ์ด้านวาณิชธนกิจมาเป็นเวลากว่า 10 ปี เคยร่วมงานกับบริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง มาก่อนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก่อนจะไปรับตำแหน่งกรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ ด้านการเงินและบัญชี บริษัท อาร์ เอส จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 2 ปี ก่อนกลับมาร่วมงานกับบล.บัวหลวงอีกครั้ง

“นายบรรณรงค์ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง มีประสบการณ์ด้านวาณิชธนกิจ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถนำมาใช้กับงานด้านสนับสนุนธุรกิจได้เป็นอย่างดี และบริษัทเองก็ถือว่าได้มืออาชีพที่มีประสบการณ์หลากหลายกลับมาร่วมงานอีกครั้ง น่าจะทำให้ธุรกิจของบริษัทมีการพัฒนาและเติบโตอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น” นายญาณศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย