ปี 2006 นี้นับเป็นปีที่วงการภาพยนตร์ฮอลลิวูดได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการโลกภาพยนตร์ในการแปลงภาพยนตร์เรื่อง “Superman Returns” จาก 2 มิติ ให้สามารถโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มได้ในรูปแบบ 3 มิติ
มร. ไบรอัน ซิงเงอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เปิดเผยถึงขั้นตอนและเทคนิคอย่างละเอียดให้แก่สื่อมวลชนฮอลลิวูดได้ทราบว่า “ขั้นตอนการแปลงผลงานไลฟ์แอ็คชั่น IMAX จากภาพ 2 มิติ เป็นภาพ 3 มิติ นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำงานร่วมกันระหว่าง “ตา” และ “สมอง” เพื่อสร้างภาพสามมิติโดยธรรมชาติในโลกที่คนทั่วๆ ไปมองเห็นด้วยตาสองตา และแม้ว่าตาทั้งสองข้างจะจับจ้องอยู่ที่จุดศูนย์กลางโดยอัตโนมัติ แต่ก็เป็นการมองจากสองมุมที่ต่างกันอยู่เล็กน้อย จึงทำให้เกิดสองภาพที่ชัดเจน ซึ่งสมองจะใช้เพื่อสร้างภาพความลึกแบบสามมิติอย่างที่เรามองเห็น”
เทคโนโลยี “IMAX 3 มิติ” จึงได้ใช้โอกาสจากขั้นตอนอันเป็นธรรมชาตินี้ สร้างภาพยนตร์ IMAX ซึ่งประกอบด้วย “ฟิล์มสองส่วน” ที่แยกจากกัน นำไปฉายบนจอในเวลาเดียวกัน ส่วนหนึ่งจับภาพจากมุมมองของ “ตาขวา” ขณะที่อีกส่วนจับภาพจากมุมมองของ “ตาซ้าย”
ภาพที่ได้จาก “ตาขวา” และ “ตาซ้าย” จะถูกทำต้นฉบับใหม่ด้วยดิจิตัล ให้เป็นรูปแบบของ IMAX โดยการใช้เทคโนโลยี IMAX DMR และนำมาบันทึกใหม่บนฟิล์มที่แยกกันขนาด 15/70 มม. เพื่อฉายในแบบ IMAX 3 มิติ เพื่อประสบการณ์ภาพยนตร์ที่สมจริงและลึกล้ำ ด้วยภาพสามมิติที่สุดยอดในความคมชัด ใหญ่กว่าความเป็นจริง และสมบูรณ์ไปด้วยระบบเสียงดิจิตัลรอบทิศทาง ผู้ชมจะรู้สึกเหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในภาพยนตร์ด้วย
ในส่วนของ “เครื่องฉายภาพยนตร์ IMAX 3 มิติ” จะฉายภาพจากทั้งสองส่วนของฟิล์ม 15/70 แต่ละภาพสำหรับตาแต่ละข้างไปบนจอ “ที่ฉาบด้วยสีเงิน” (Silver Screen) ซึ่งเป็นจอชนิดพิเศษลิขสิทธิ์เฉพาะของ IMAX Corporation โดยทำงานประสานกับ “แว่นตา 3 มิติ” ที่จะส่งภาพข้างขวาสู่ตาขวา และภาพข้างซ้ายสู่ตาซ้าย ฟิล์มขนาด 15/70 ที่ใช้สำหรับ IMAX มีความใหญ่เป็นสิบเท่าของฟิล์ม 35 มม. และเป็นสามเท่าของฟิล์มมาตรฐาน 70 มม. ในเฟรมเต็มขนาดฟิล์ม 15/70 ร่วมกับเทคโนโลยีการฉายที่เป็นเอกลักษณ์ของ IMAX เป็นหัวใจสำคัญของความคมชัดอย่างไม่ธรรมดา และความกระจ่างชัดของภาพยนตร์ในโรง IMAX
“แว่นตา IMAX 3 มิติ” ชนิดพิเศษจะทำการแยกภาพเหล่านั้น เพื่อให้ตาซ้ายของผู้ชมเห็นเฉพาะภาพที่ฉายทาง “ด้านซ้าย” และตาขวาเห็นเฉพาะภาพที่ฉายทาง “ด้านขวา” ซึ่งทำให้สมองใช้ ภาพทั้งสองสร้าง “ภาพสามมิติ” ที่ดูเหมือนว่ากระโดดออกมาจากจอภาพสู่โรงภาพยนตร์
ประกอบกับการออกแบบโรงภาพยนตร์ IMAX อันเชี่ยวชาญ ทำให้การรับชมสำหรับทุกๆ ที่นั่ง ไม่มีสิ่งกีดขวางที่จะนำผู้ชมเข้าไปสู่แอ็คชั่นบนจอ จอที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษของ IMAX 3 มิติ ลดความไม่สบายตาและภาพที่ถูกตัดส่วนขอบด้านบนออกในแบบของระบบสามมิติทั่วไป จอภาพ IMAX ถูกเคลือบด้วยสีเมทัลลิคคุณภาพสูงชนิดพิเศษ และมีความโค้งเล็กน้อยที่อยู่นอกเหนือจากการรับชม สิ่งนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง ด้วยภาพสมบูรณ์แบบกับเสียงที่คมชัดด้วยระบบดิจิตัลรอบทิศทางหลายช่องที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของทางไอแมกซ์
เดิมทีภาพยนตร์ Superman Returns นั้นถูกถ่ายทำในรูปแบบ 2 มิติที่เป็นการนำเสนอภาพที่มองเห็นจากตาข้างเดียว การแปลงภาพยนตร์ให้เป็น IMAX 3 มิติ ภาพข้างที่สองหรือ “ตาที่สอง” ต้องถูกสร้างขึ้น การสร้าง “ตาที่สอง” นั้นทำได้โดยการใช้เทคโนโลยี 2 มิติ เป็น 3 มิติซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของ IMAX Corporation ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีที่ได้จดทะเบียนโดย Three-Dimensional Media Group, Ltd. และประดิษฐ์ขึ้นมาโดย มร. เดวิด เอ็ม. เกชวินด์ เทคโนโลยีปฏิบัติการนี้ มีพื้นฐานจากการคำนวณจากความจริงที่ถูกกำหนดไว้อย่างถี่ถ้วน และสร้างภาพสามมิติขึ้นใหม่
“ภาพยนตร์สามมิติ Superman Returns” เป็นภาพยนตร์ “ไลฟ์แอ็คชั่น” เรื่องแรกที่มีบางส่วนซึ่งได้รับการแปลงจาก 2 มิติ เป็น IMAX 3 มิติ ด้วยความยาวประมาณ 20 นาทีของภาพยนตร์ได้ถูกแปลงเป็นภาพยนตร์ 3 มิติ ภาพยนตร์ทั้งเรื่องได้รับการทำต้นฉบับใหม่ด้วยเทคนิคดิจิตัลเพื่อให้มีภาพและเสียงที่คมชัดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ด้วยลิขสิทธิ์ในเทคโนโลยีของ IMAX DMR (Digital Re-mastering) ในส่วนของฉากที่เป็นภาพสามมิติของเรื่องจะทำให้ภาพที่มีชีวิตชีวาอย่างเหนือธรรมดาของ Superman Returns ดูเสมือนว่าซุปเปอร์แมนได้กระโจนออกมาจากจอเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น สมจริงให้กับผู้ชมเวอร์ชั่น IMAX 3 มิติ
ไม่มีเทคโนโลยยี 3 มิติ ใดๆ ในโลกที่จะเทียบได้กับ IMAX 3 มิติ ทั้ง รูปทรง, จอภาพ, คุณภาพของภาพ และองค์ประกอบอื่นๆ ของโรงภาพยนตร์ Krungsri IMAX กับประสบการณ์จาก IMAX ที่จะพาผู้ชมโลดแล่นไปกับภาพยนตร์ IMAX 3 มิติ การรับชมภาพยนตร์ 3 มิติจาก IMAX จะเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ในการนำเสนอภาพสามมิติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเครื่องคอมพิวเตอร์แล็พท็อป หรือในโรงภาพยนตร์ทั่วไป ซึ่งนับว่าโลกแห่งภาพยนตร์ของ IMAX 3 มิติ ณ วันนี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการรับชมที่เผยให้เห็นความลึกของเรื่องราวในภาพยนตร์ แต่ยังเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพระหว่างผู้ชมและตัวละครที่โลดแล่นในภาพยนตร์อย่างสิ้นเชิง