ความสามารถในการทำกำไรของแบงก์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ปรับตัวลดลง

หลังจากที่ธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 14 แห่ง รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2549 นั้น ปรากฏว่ามีกำไรสุทธิ 2.65 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2548 เท่ากับ 50.68% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2548 เท่ากับ 5.19% ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 4/2548) นั้น สะท้อนผลจากทั้งการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (+9.51%) รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิ (+22.91%) ตลอดจน ค่าใช้จ่ายในการกันสำรองที่ลดลง (-26.93%)

ในขณะที่ เมื่อวัดผลการดำเนินงานในรูปอัตราส่วนการทำกำไรที่สำคัญอย่าง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือ Net Interest Margin (NIM) นั้น พบว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังสามารถบันทึกส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1/2549 โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 3.27% ในไตรมาส 4/2548 มาที่ 3.41% ในไตรมาส 1/2549 เนื่องจาก ถึงแม้ว่าส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยจ่ายจากเงินฝากจะลดลงจาก 4.09% ในไตรมาส 4/2548 มาที่ 3.64% ในไตรมาส 1/2549 ตามการเร่งตัวขึ้นของรายจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินฝาก แต่ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีผลตอบแทนจากเงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้นที่สูงขึ้น ตามการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเม็ดเงินลงทุนในตลาดเงินระยะสั้นดังกล่าวที่เพิ่มสูงขึ้นมากภายหลังจากที่มีการระดมเงินฝากอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2549 เช่นเดียวกัน อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ได้เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากไตรมาสก่อนหน้า จากเงินปันผลของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ซึ่งปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวสามารถช่วยหักล้างผลกระทบจากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยจ่ายจากเงินฝากที่ลดลงได้

ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ถือเป็นแหล่งรายได้และสะท้อนธุรกิจหลัก (Core Business) ของธนาคารพาณิชย์ และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิดังกล่าว มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนักวิเคราะห์โดยทั่วไปนิยมใช้เพื่อวัดความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้คาดการณ์อนาคตของผลการดำเนินงานหลักของธนาคารพาณิชย์ไทยดังกล่าว ผ่านการประมาณการส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 2/2549 และในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ดังนี้

แนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 2/2549 … อาจขยับลงเล็กน้อยจากช่วงไตรมาสแรก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 2/2549 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยจะอยู่ที่ประมาณ 3.38% ลดลงเล็กน้อยจาก 3.41% ในไตรมาส 1/2549 เนื่องจากในไตรมาส 2/2549 นี้ ธนาคารขนาดใหญ่และขนาดกลางหลายแห่ง จะไม่มีเงินปันผลจากกองทุนรวมวายุภักษ์มาช่วยหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยดังเช่นในไตรมาสแรก ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในไตรมาส 2/2549 มีความรุนแรงมากกว่าในไตรมาสแรก อีกทั้งมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากแบบพิเศษที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงและมีการจ่ายอัตราดอกเบี้ยเป็นรายเดือน อันจะเริ่มทยอยส่งผลกระทบต่อต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของธนาคารในช่วงปลายไตรมาส ทั้งนี้ ปัจจัยลบต่างๆ ดังกล่าว คงจะบดบังปัจจัยบวกจากการขยายสินเชื่อของระบบธนาคารที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 2 นี้ ตามปัจจัยด้านฤดูกาลที่มักมีการเบิกใช้สินเชื่อมากขึ้นประมาณช่วงกลางปี ตลอดจนจากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงินระยะสั้น หลังจากที่ธนาคารกลางของไทยและสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสองครั้งในช่วงระหว่างไตรมาส 2/2549

เมื่อคำนวณเป็นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2549 นั้น จะพบว่าอยู่ที่ประมาณ 3.42% ซึ่งถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับทั้งปี 2548 ที่ 3.07% และ 3.17% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548

แนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 … ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2549 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเชื่อว่า การรักษาความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น คงจะเผชิญปัจจัยลบหลายประการ และท้ายที่สุดแล้ว อาจส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 อยู่ที่ประมาณ 3.20% ต่ำกว่าประมาณการของช่วงครึ่งปีแรกที่ 3.42% ซึ่งการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทั้งในไตรมาส 2/2549 และครึ่งหลังของปีนี้นั้น สะท้อนว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านพ้นจุดสูงสุด (Peak) มาแล้ว ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ได้แก่

? การชะลอตัวของสินเชื่อ ตามภาวะเศรษฐกิจ โดยในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเมื่อผนวกปัจจัยดังกล่าวกับตัวแปรด้านเมืองที่ขาดความชัดเจน คาดว่าจะยังคงมีผลกระทบต่อการตัดสินใจขยายการลงทุนของภาคธุรกิจ ส่งผลตามมาให้ภาคธุรกิจทยอยชำระคืนสินเชื่อ และอาจเลื่อนแผนการขอ/ทยอยใช้วงเงินสินเชื่อออกไปอีก ในขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง คงจะส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อภาคครัวเรือน อันหมายความถึงโอกาสการขยายตัวของทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อผู้บริโภคเพื่อการจับจ่ายใช้สอยเพื่อสินค้าคงทนประเภทอื่นๆ อาทิ ยานยนต์ ชะลอตัวลง

ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่า สินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงมีอนาคตที่ไม่สดใสเท่าใดนัก โดยสินเชื่อดี (Performing Loans) ณ สิ้นปี 2549 อาจมีอัตราการขยายตัวประมาณ 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เทียบกับอัตราการขยายตัวที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 7-7.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2549 ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีโอกาสพลาดเป้าหมายสินเชื่อสำหรับทั้งปีที่เคยตั้งไว้ นอกจากนี้ การที่ธนาคารพาณิชย์ไทยอาจขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีกไม่เกิน 1-2 ครั้งๆ ละ 0.25% ซึ่งต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นถึง 1.0-1.55% ค่อนข้างมากนั้น อาจทำให้การเพิ่มอัตราผลตอบแทน (Yield) ของพอร์ตสินเชื่อในภาพรวม สู้ช่วงครึ่งปีแรกไม่ได้ ดังนั้น ทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และการขยายสินเชื่อในลักษณะที่ชะลอลงดังกล่าว คงจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35% (จากช่วงครึ่งปีแรก) ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ต่ำกว่าของช่วงครึ่งปีแรกที่ 0.71% (เทียบกับช่วงครึ่งหลังของปี 2548)

? ผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงก่อนหน้า สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนั้น อัตราดอกเบี้ยจ่ายจากเงินฝาก น่าจะปรับเพิ่มขึ้นชัดเจนจากช่วงครึ่งปีแรก โดยมีสาเหตุหลักจากการที่ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยจะต้องรับรู้ผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะต่างๆ ในช่วงก่อนหน้า นั่นคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 1 ปีสูงถึงประมาณ 1.0-1.85% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท 6 เดือนทั้งในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2/2549 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 3 เดือนในช่วงไตรมาสที่ 2/2549 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำแบบพิเศษที่ทยอยจ่ายอัตราดอกเบี้ยเป็นรายเดือน รวมทั้ง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะสั้นในช่วงที่เหลือของปี 2549 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ขนาดประมาณ 0.25-0.50%

ทั้งนี้ ถึงแม้เงินฝากในช่วงครึ่งปีหลัง หรือ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 น่าจะขยายตัวประมาณ 3.5-4.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชะลอตัวลงจากการขยายตัวในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2549 ที่ประมาณ 5.6-6.0% (ตามการแข่งขันด้านราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเงินฝากที่ผ่อนคลายลงจากช่วงครึ่งปีแรก และการไหลออกของเงินฝากไปยังช่องทางการออมอื่นๆ อาทิ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมทั้ง ตราสารทางการเงินประเภทอื่นๆ ที่ธนาคารพาณิชย์เองอาจทยอยออกมาเพื่อปรับโครงสร้างเงินทุนและบรรเทาต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย) อันน่าจะช่วยให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยขยับขึ้นได้จากช่วงสิ้นครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี แต่เมื่อคำนึงถึงต้นทุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระยะก่อนหน้าแล้ว จะพบว่ามีผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ โดยต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินฝากในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.62% (จากช่วงครึ่งปีแรก) ซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อในช่วงเดียวกัน ส่งผลตามมาให้ผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจากเงินให้สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยจ่ายจากเงินฝากในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะแคบลงจากประมาณ 3.54% ในช่วงครึ่งปีแรก มาที่ประมาณ 3.28%

? อัตราผลตอบแทนจากตลาดเงินที่ถึงจุดสูงสุดแล้ว โดยเป็นที่คาดหมายว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งของไทยและสหรัฐฯ ใกล้ที่จะถึงจุดสูงสุดแล้วภายในกลางปีถึงไตรมาส 3/2549 ดังนั้น สินทรัพย์สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินลงทุนในตลาดเงินระยะสั้นนั้น คงจะมีอัตราการเติบโตของอัตราผลตอบแทนในลักษณะที่จำกัด และไม่สามารถช่วยชดเชยต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายส่วนเพิ่มจากเงินฝากได้มีประสิทธิภาพเท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ผลต่างระหว่างผลตอบแทนจากเงินลงทุนในตลาดเงินระยะสั้นกับต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินฝาก จะอยู่ที่ประมาณ 2.14% ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งแรกของปีที่ประมาณ 2.63%

โดยสรุปแล้ว นัยที่สำคัญจากการปรับตัวลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 คือ โอกาสที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จะลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลตามมาให้ธนาคารพาณิชย์ไทยอาจต้องหาทางออกอื่นๆ เพื่อช่วยรักษากำไรสุทธิไว้ เช่น การเพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย การประหยัดค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ย การพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียงขาเดียว และ/หรือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เป็นต้น โดยแต่ละทางเลือกก็มีข้อจำกัดและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าแนวทางที่คงมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากที่สุด จะยังคงเป็นการเพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ผ่านการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมเป็นสำคัญ ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพียงขาเดียวนั้น คงจะไม่ใช่ทางออกที่ธนาคารพาณิชย์ไทย (โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่) เลือกใช้ เพราะปัจจัยการแข่งขันทั้งด้านสินเชื่อและเงินฝากระหว่างธนาคารพาณิชย์ยังคงรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารที่เลือกปรับอัตราดอกเบี้ยเพียงขาเดียวดังกล่าว สูญเสียฐานลูกค้าได้ อีกทั้ง คาดว่าธนาคารพาณิชย์ไทยคงจะต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม ในกรณีที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียงขาเดียวอีกด้วย