“พีเจ้น” เดินเกมเหนือคู่แข่ง นำนวัตกรรมใหม่ เบบี้ไวพส์สูตร “กันยุง”

มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง เตรียมกลยุทธ์แนวรุกรักษาความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง วางแผนขยายไลน์สินค้า “พีเจ้น เบบี้ ไวพส์” นำนวัตกรรมใหม่ของผ้าเช็ดทำความสะอาดผิว สำหรับใช้กันยุง ด้วย Pigeon Anti-Mosquito Wipes หวังเดินเกมทิ้งห่างคู่แข่งแบบหลายช่วงตัว ชูจุดขาย ‘ไร้สารระคายเคืองต่อผิวหนัง (Deet Free), ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และมีประสิทธิภาพป้องกันได้นานกว่า 6 ชม.’ พร้อมวางกลยุทธ์รุกทำตลาดในแหล่งเมืองท่องเที่ยว ก่อนขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่เพิ่มขึ้น

นายนิรามัย ลักษณานันท์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวในปัจจุบันว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวในขณะนี้มีการแข่งขันที่ถือว่าค่อนข้างรุนแรงมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เห็นได้จากปริมาณผู้ประกอบการที่เข้าร่วมแข่งขันในตลาดดังกล่าวทั้งรายเก่าและรายใหม่มีเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การวางกลยุทธ์การทำตลาดในผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวในขณะนี้ท้าทายมากยิ่งขึ้น และคาดว่าแนวโน้มของตลาดโดยรวมจะยังคงมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากตัวเลขของมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2549 ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดรวมประมาณการกว่า 60 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20 % เมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 2548 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน “พีเจ้น เบบี้ ไวพส์” (Pigeon Baby Wipes) ถือเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งถึง 50% จากมูลค่าตลาด

ล่าสุด บริษัท มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด ในฐานะที่เป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวได้เล็งเห็นโอกาสในการแข่งขัน รวมถึงช่องว่างของผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวที่ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดเคยทำมาก่อน จึงได้นำผลิตภัณฑ์กันยุงในรูปแบบผ้าเช็ดทำความสะอาดผิว “Pigeon Anti-Mosquito Wipes” ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

“นอกเหนือจากแผนการตลาดที่ต้องการมุ่งขยายฐานลูกค้า และการขยายช่องทางจัดจำหน่ายไปยังผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ แล้ว บริษัทยังต้องการสร้างความแตกต่างของสินค้าจากคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง โดยการเพิ่มความหลากหลายทั้งตัวสินค้าและคุณภาพ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประโยชน์ใช้สอยในตัวสินค้าเอง เพื่อให้คลอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากผลการสำรวจของบริษัทพบว่า ตลาดรวมของผลิตภัณฑ์กันยุงในประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์กันยุงส่วนใหญ่จะมีในหลายรูปแบบ ได้แก่ โลชั่น แป้ง ครีม เจล สเปรย์ และยาขดกันยุง ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดมีส่วนผสมหลักที่เป็นสารเคมีฆ่าแมลงอยู่ดี เพียงแต่ใช้ในขนาดเข้มข้นที่ลดลง คือ สารไดเอทธิลโทลูไมด์ (Diethyl-tolumide) หรือมีชื่อทางการค้าว่า ดีอีอีที. (DEET) ซึ่งแม้จะอันตรายน้อยลงแต่ก็อยู่ในกลุ่มยาฆ่าแมลงที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังโดยเฉพาะในเด็กเล็ก และยังสร้างมลพิษแก่อากาศภายในบ้านด้วย ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับผิวสัมผัส ปีหนึ่ง ๆ ไทยเราต้องเสียสตางค์สั่งเข้าสารเคมีฆ่ายุงและไล่ยุงเป็นจำนวนหลายพันล้านบาท บริษัทฯ เล็งเห็นช่องว่างทางการตลาดนี้ จึงได้ส่งนวัตกรรมใหม่นี้ออกมาเพื่อ รองรับตลาดเด็กอ่อนในบ้านเรา โดยเชื่อจะเป็นการสร้างโอกาสให้กับพีเจ้นในการบุกเบิกตลาดผ้าทากันยุงที่ปราศจาก Deet แก่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กจนถึงผู้ใหญ่ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกไม่มากนักสำหรับสินค้าป้องกันยุง ดังนั้นพีเจ้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะให้ผู้บริโภคมีโอกาสที่จะเลือกใช้สินค้าที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ซึ่งแน่นอนยังสามารถใช้ได้กับกลุ่มผู้ใหญ่อีกด้วย” นายนิรามัย กล่าว

นายเมธิน เลิศสุมิตรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวสูตรกันยุง “Pigeon Anti-Mosquito Wipes” มีคุณสมบัติเด่นอยู่ที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี N-diethyl-toluamide หรือ (DEET) ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง และระบบประสาทของคน โดย Pigeon Anti Mosquito Wipes ใช้ส่วนผสมของสาร Ethyl butylacetylaminopropionate (IR) ใช้ได้ทุกวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และมีคุณสมบัติป้องกันยุงได้ยาวนานกว่า 6 ชั่วโมง ทั้งที่ไม่มีส่วนผสมของ Deet และยังมีกลิ่นหอมแบบธรรมชาติในบรรจุภัณฑ์ที่พกพาง่าย สะดวกต่อการเดินทาง ใช้ได้ทุกโอกาส ทุกที่ ทุกเวลา ภายใต้ คอนเซ็ปต์ “ปลอดยุงอย่างปลอดภัย”

สำหรับแผนการตลาดของผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดกันยุง “Pigeon Anti Mosquito Wipes” ในเบื้องต้นบริษัทกำหนดให้วางตำแหน่งสินค้าอยู่ในระดับเดียวกับสินค้าประเภทอื่นๆ ของพีเจ้น ที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าในระดับ พรีเมี่ยม รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมความสะดวกสบาย นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายฐานลูกค้าออกไปสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย โดยใช้การสื่อสารการตลาดทั้งในแบบ อะโบฟเดอะไลน์ (Above the Line) และบีโลว์เดอะไลน์ (Below the Line) โดยวางแผนจะลงโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และนิตยสารเกี่ยวกับแม่และเด็ก นิตยสารผู้หญิง ฯลฯ อย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบของการโฆษณาและบทความให้ความรู้ จัดทำสื่อ ณ จุดขายต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบ(POP: Point of Purchase) จัดกิจกรรมการทางการตลาดเสริมด้วยการแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง (Sampling) ในแหล่งชุมชนต่างๆ เพื่อเป็นการแนะนำให้กลุ่มเป้าหมายใหม่เกิดการทดลองใช้อย่างกว้างขวาง รวมถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปสู่ช่องทางใหม่ๆ เพิ่มขึ้น