แม้จะมีการคาดหมายว่าจะมีการชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจหลักของโลกและมีปัจจัยความเสี่ยง จากภูมิศาสตร์การเมือง (geopolitics) ฝ่ายกลยุทธของซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์ (Citigroup Private Bank) ยังคงคาดการณ์ ว่าหุ้นทุนจะเป็นประเภททรัพย์สิน ที่จะมีการเพิ่มค่ามากที่สุดของปีและตลาดหุ้นของทวีปยุโรป และสหรัฐ อเมริกาก็ได้ถูกคาดหมายว่าจะมีผลประกอบการที่ดีที่สุด
ในเวลาเดียวกันผู้ชำนาญของซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์ ได้เตือนผู้ลงทุนว่าจะต้องปรับเปลี่ยนการแปรสภาพ สำคัญ ที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์การเมือง (อย่างเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดพลังงาน ) แนวทาง ทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี สามารถกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงระหว่างประเทศ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นิตยสาร Euromoney ได้ลงมติให้ซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์ เป็นธนาคารส่วนบุคคลที่ดีที่สุดของโลก (Global Best Private Bank) ซึ่งซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์นั้นเป็นหนึ่งในผู้จัดการบริหารความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดของ โลก และให้คำปรึกษาลูกค้าที่มีมูลค่าความมั่งคั่งสูง (High Net Worth clients) ทั้งรายบุคคล และแบบ รายครอบครัว ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอย่างต่ำ 10 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็รวมไปถึงอภิมหาเศรษฐี ครึ่งหนึ่งของทวีปเอเซีย (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น)
เจสสิก้า โปห์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานไพรเวทแบงก์ของซิตี้กรุ๊ป ประจำประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวว่า “นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์ทำการศึกษาเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั่วโลก โดยทุกครึ่งปี เราจะนำเสนอมุมมองของพวกเราแก่ลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและตะวันออกกลาง”
“การที่เราสามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้กับลูกค้าได้นั้นมาจากความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ของเรา ซึ่งนับเป็นผลลัพท์จากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการสร้างสินทรัพย์ทางปัญญาด้านการให้บริการ และคำแนะนำในการบริหารความมั่งคั่งแก่ลูกค้า ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์เป็นผู้นำในการมอบการบริการ ที่ปรึกษาในการลงทุนให้แก่ลูกค้าที่มีมูลค่าความมั่งคั่งสูง จนเป็นที่ยอมรับของผู้บริหารความมั่งคั่งรายอื่นด้วย”
ในการประกาศ ผลสำรวจธนาคารที่ให้บริการทางด้านไพรเวทแบงก์ทั่วโลกของ Euromoney ปรากฎว่าซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์
เอเชียแปซิฟิคและ ตะวันออกกลางได้ถูกจัดลำดับโดยผู้ให้บริการรายอื่นว่าดีที่สุดในการให้บริการการลงทุน ในกลุ่มทรัพย์สินหุ้นทุนส่วนตัว กองทุนป้องกันความเสี่ยง ตราสารหนี้ การแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์รวมไปถึงกลุ่มทรัพย์สินอื่นๆด้วย
เน้นหนักในหุ้นทุน ให้น้ำหนักน้อยลงในพันธบัตร
สำหรับปี 2550 สายงานไพรเวทแบงก์ของ ซิตี้กรุ๊ปเชื่อมั่นว่าหุ้นทุนทั่วโลกยังคงน่าสนใจ โดยบริษัท ต่างๆ มีรายรับที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และสม่ำเสมอ
สาเหตุหลักของปรากฏการณ์ข้างต้นคือ สภาวะแวดล้อมทางด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคทั่วโลก ขณะที่ เศรษฐกิจหลักของโลก ยังคงได้รับการคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลงหลังจากอัตราการเติบโตถึงจุดสูงสุดใน ปีพ.ศ. 2549 มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเหล่านี้กำลังเติบโตที่ความเร็วแบบ “Goldilocks” ซึ่งคืออัตราการ เติบโตของ เศรษฐกิจที่กำลังดีเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัว ในส่วนนี้จะดำเนินต่อเนื่องใน ปี 2550 และอาจ ต่อเนื่องไปกว่านั้น
สภาพการเงินทั่วโลกนั้นยังคงมีส่วนสนับสนุนตลาดตราสารทุน สภาพคล่องยังคงดีอยู่ ถึงแม้ว่าจะมี การปรับตัวขึ้นของอัตราต่างๆในสหรัฐฯ และการเจรจาอย่างแข็งกร้าวจากธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) และธนาคารของญี่ปุ่น (Bank of Japan) บริษัทต่างๆ ในตลาดทุนต่างมีงบดุลที่ดี ภายหลัง การได้รับผลกำไรอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านๆมา ต้นทุนที่ต่ำลงทำให้เกิดการขยายตัวด้านการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจด้วยการเติบโตจากภายใน (organic expansion)
ฝ่ายกลยุทธของซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์ให้ความสำคัญอย่างมากกับตลาดทุนยุโรป บริษัทเงินทุน ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ (USlarge-cap) และ ตลาดทุนญี่ปุ่น แต่จะระมัดระวังในการลงทุนในตลาดตราสารทุน ใหม่
ในทางกลับกันตลาดตราสารหนี้ได้รับการตีค่าไว้ต่ำ เป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) มีแนวโน้มที่จะปล่อยให้ อัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นของสหรัฐฯ อยู่ในสภาวะเดิม (อย่างน้อยถึงกลางปี 2550) ซึ่งหมายความว่าผล ตอบแทนที่ได้รับจากตราสารหนี้จะถูกยึดติดกับอัตราผลตอบแทน จึงส่งผลให้ราคา ของพันธบัตรไม่ได้รับการประเมินค่าไว้สูง
การอ่อนตัวของดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง การกลับมาของกองทุนป้องกันความเสี่ยง
การไม่ลงมือการกระทำการใดๆของธนาคารกลางสหรัฐ ในครึ่งปีแรกของปี 2550 ส่งผลในการ ระงับการขาดทุนในระยะสั้นสำหรับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เพราะตลาดจะเริ่มตั้งราคาอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ในครึ่งปีหลัง แต่ปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ยังคงเกี่ยวเนื่องกับ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบไปด้วยการ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ณ ปัจจุบันใน สหรัฐอเมริกา และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ (Central Bank) ที่คงสินทรัพย์ที่ผูกพันกับเงินสกุลดอลลาร์สูง ควรที่จะทำให้เงินทุนสำรองของพวกเขามีหลากหลายชนิดขึ้น เนื่องจากดอลลาร์ดูมีแนวโน้มที่จะขยับไป ในทิศทางลบอย่างต่อเนื่องในปี 2550
นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป ได้คาดการณ์ว่าผลประกอบการเฉลี่ยสุทธิของกองทุนป้องกันความเสี่ยงคือ ร้อยละ 10 ในปี 2550 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเลขหนึ่งหลักในปี 2549 แต่ยังคงต่ำกว่า ร้อยละ 11.4 ของทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามผู้ชำนาญของซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์เชื่อมั่นว่าผู้ลงทุนที่มีมูลค่าความมั่งคั่งสูงนั้นควรเลือกลงทุนในกองทุนป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายเพราะยังคงเป็นวิธีสร้างความหลากหลายที่น่าดึงดูดใจสำหรับการเพิ่มมูลค่าพอร์ทการลงทุนของพวกเขา
ภูมิศาสตร์การเมืองมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
ฝ่ายกลยุทธของซิตี้กรุ๊ปได้ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าที่มีมูลค่าความมั่งคั่งสูงว่าในอีกหลายปีข้างหน้าปัจจัยด้านการเมืองจะเข้ามามีบทบาทนำทิศทางเศรษฐกิจ โดยจะกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับ การเปลี่ยนแปลงระหว่างประเทศ และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ที่สุดบนตลาดทั่วโลก
ประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงประกอบด้วยการขัดแย้งด้านนิวเคลียร์ในอิหร่านและเกาหลีเหนือ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่าง จีนและญี่ปุ่น การท้าทายความสามารถของกรุงวอชิงตันในการเป็นผู้นำ
ของโลกซึ่งเกิดขึ้นจากพฤติกรรมต่อต้านอเมริกา (anti-Americanism) เช่นเดียวกับการขู่โจมตีของ ผู้ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรป.
โอกาสและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงตลาดพลังงาน
เครื่องเตือนใจที่ดีที่สุดของภูมิศาสตร์การเมือง ในการสร้างผลลัพธ์ของตลาดสามารถดูได้จาก ตลาดพลังงานซึ่งได้กลาย เป็นลักษณะชี้ขาดสำหรับการทำงานอย่างราบรื่นของเศรษฐกิจทั่วโลก
ส่วนแบ่งของของน้ำมันดิบของโลกและก๊าซธรรมชาติของประเทศใหญ่ๆ เริ่มถูกพบเจอในประเทศที่ไม่มั่นคง โดยมีเรื่องปัจจัยการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจในการจัดสรรพลังงานในประเทศเหล่านั้นเป็นอย่าง มาก ในเวลาเดียวกันการตัดสิน ใจเกี่ยวกับการค้าขายในภาคอุตสาหกรรมพลังงานก็ได้รับแรงกระตุ้นจาก การเมืองมากขึ้นทุกทีด้วย
จากข้อมูลเหล่านี้ ซิตี้กรุ๊ปไพรเวทแบงก์ เชื่อมั่นว่าจะเกิดความต้องการในการพัฒนาหรือกักตุนแหล่ง พลังงาน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานรูปแบบเดิมเช่น น้ำมันและแก๊ส หรือพลังงานทางเลือกอื่น (เช่น เอธานอล ลมและแสงอาทิตย์) ซึ่งจะต้องใช้เงิน เป็นจำนวน มาก
ตัวอย่างเช่น ซิตี้กรุ๊ปได้ประมาณการว่าค่าใช้จ่ายสำหรับพลังงานรูปแบบเดิมจะมีมูลค่าสูงถึง $15 ล้านล้าน ภาย ในปีพ.ศ. 2573 ขณะที่รายงานของรัฐบาลสหรัฐได้คาดการว่าค่าใช้จ่ายสำหรับพลังงาน แบบทางลือกอื่น จะอยู่ที่ $2.6 ล้านล้าน ในอีก 20 ปี ข้างหน้า
ฝ่ายกลยุทธ์ของซิตี้กรุ๊ประบุว่าการใช้จ่ายที่สูงขึ้นด้านโครงสร้างพื้นฐานของพลังงานเป็นหนึ่งในวิธี การลงทุนระยะยาวซึ่งสามารถมอบโอกาสอันดีให้แก่ลูกค้าได้