สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านออกโรงเตือน ผู้ประกอบการเล่นสงครามราคาระวังปัญหาต้นทุนพุ่ง หลังกลุ่มวัสดุก่อสร้างจ่อคิวขึ้นราคาอีกหลายรายการ แนะมุ่งจับมือพัฒนาตลาดรวมช่วยลดผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านราคาบ้าน เผยในอนาคตรัฐน่าเข้ามาช่วยเหลือแทนที่จะมุ่งเฉพาะคอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรร เผยตลาดรับสร้างบ้านยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี
นายศักดา โควิสุทธิ์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในครึ่งปีหลังหรืออย่างช้าต้นปีหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนของผู้ผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งในปี 2550 มีผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างบางกลุ่มที่ปรับราคาขึ้นไปแล้ว เพื่อให้มีมาจิ้นตามที่ตั้งไว้ ขณะที่บางกลุ่มยังคงจำหน่ายสินค้าราคาเดิม โดยพยายามควบคุมต้นทุนและรอจังหวะเหมาะสมที่จะปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้า เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลงจึงต้องพยายามพยุงราคาเอาไว้ก่อน
ในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้านเองก็ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลงไม่ต่างกัน โดยบริษัทรับสร้างบ้านต่างพยายามพยุงราคาขายบ้านเอาไว้ หลายรายได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาของวัสดุก่อสร้างบางประเภท ซึ่งทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่กังวลคือ มีผู้ประกอบการหลายรายยังคงใช้ยุทธวิธีทางด้านการลดราคา มาเป็นตัวดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาปลูกสร้างบ้าน เนื่องจากในภาวะปัจจุบันที่ผู้บริโภคมีการชะลอการตัดสินใจเพื่อดูทิศทางทางด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น เนื่องจากอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้กลุ่มที่รับงานในราคาต้นทุนเดิมจะมีภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดการขาดทุน หรือไม่สามารถก่อสร้างบ้านให้กับลูกค้าได้
“ในส่วนของบริษัทรับสร้างบ้านช่วงนี้ต้องพิจารณาแนวทางด้านการแข่งขันให้ดี เพราะหลายรายเน้นการลดราคาเพื่อการแข่งขัน ขณะที่ราคาวัสดุ่ก่อสร้างอย่างไรก็ต้องปรับตัวขึ้นตามภาวะของต้นทุน ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นธุรกิจที่ต้องมองเรื่องอนาคตมาก ๆ เรารับงานลูกค้าวันนี้แต่กว่าจะก่อสร้างก็อีก 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งราคาวัสดุคงปรับตัวขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว และจะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก ทั้งต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หรือหากเป็นผู้รับเหมารายย่อยก็อาจจะมีการทิ้งงานเนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว” นายศักดา กล่าว
นายศักดา กล่าวต่อไปว่า แนวทางในช่วงนี้น่าจะเป็นการร่วมมือกัน ทั้งในส่วนของบริษัทรับสร้างบ้านเอง และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง เพื่อไม่ให้กลุ่มผู้บริโภคได้รับผลกระทบมากนัก โดยเฉพาะในปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว หากมีการขึ้นราคาวัสดุก่อสร้างมากเกินไป ผู้ประกอบการก็จะขายสินค้าได้ยาก ซึ่งในตอนนั้นทุกฝ่ายก็ได้รับผลกระทบที่ไม่ต่างกัน ขณะเดียวกันในส่วนของบริษัทรับสร้างบ้านเอง ต้องหันมามุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับ มุ่งสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจในธุรกิจรับสร้างบ้านว่ามีจุดแตกต่างจากกลุ่มผู้รับเหมาอย่างไรมากกว่าที่จะหันมาแข่งขันกันในด้านของราคา
ด้านนายสิทธิพร สุวรรณสุต เลขาธิการ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า นอกจากกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง และ กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน ต้องร่วมมือกันพยุงตลาดในช่วงนี้แล้ว ในส่วนของภาครัฐเองน่าจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วย เพราะธุรกิจรับสร้างบ้านก็ถือเป็นอีกแขนงหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการสร้างบ้านเองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีสูงขึ้นกว่าในช่วงก่อนหน้านี้ โดยปี 2546 มีปริมาณบ้านสร้างเองในเขตกรุงเทพและปริมณฑลมีจำนวน 18,598 หน่วย ในขณะที่ปริมาณบ้านสร้างเองในปี 2549 เพิ่มขึ้นเป็น 28,949 หน่วย หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 55 % หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละเกือบ 20% ขณะที่ความช่วยเหลือของภาครัฐยังจะพุ่งเป้าไปที่ 3 สมาคมใหญ่ คือ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทยเท่านั้น
หากภาครัฐและสถาบันการเงินจะหันมาสนใจและกำหนดมาตรการที่จะกระตุ้นภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะมูลค่ารวมของธุรกิจรับสร้างบ้านหรือบ้านสร้างเองนั้น เป็นมูลค่าของค่าก่อสร้างโดยไม่มีค่าที่ดินรวมอยู่ด้วย หมายถึงทำให้เกิดการจ้างงานและกาผลิตจากมูลค่าทั้งหมด ในขณะที่มูลค่าบ้านจัดสรรเป็นมูลค่าของที่ดินแฝงอยู่ด้วย หากรัฐบาลมีมาตรการออกมากระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค จะเกิดการสร้างงานและต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นเช่นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง และการจ้างงานก็จะออกสตาร์ทได้ทันที เพราะผู้บริโภคมีที่ดินพร้อมจะปลูกสร้างอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีสถิติด้านสินเชื่อที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีสัดส่วนเป็นหนี้เสียน้อยมากหรือไม่น่าเกิน 2 % เพราะส่วนใหญ่กู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อค่าสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น ต่างกับบ้านจัดสรรหรืออาคารชุดที่เป็นการกู้ยืมเพื่อค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวมกัน
อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการหารือกันอย่างเป็นทางการในสมาคมฯ เพียงแต่เป็นที่รับรู้กันดีในกลุ่มผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้านว่าทุกฝ่ายจะหาทางช่วยเหลือตัวเองกันก่อน ที่ผ่านมายังไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดหันมาสนใจหรือให้ความสำคัญกับธุรกิจรับสร้างบ้าน ทั้งๆที่มีผลในภาพกว้างต่อผู้บริโภคและเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้าง ดังนั้นผู้ประกอบการและนักวิชาชีพที่อยู่ในธุรกิจนี้ จึงควรพิจารณาและหันมาสนใจที่จะรวมตัวและร่วมมือกัน เพื่อร่วมกันผลักดันและพัฒนาศักยภาพของธุรกิจรับสร้างบ้านให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคราวเกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองหรือถดถอยเช่นปัจจุบัน