• ยิลเลตต์และแฟ้บควบรวมเข้ากับพีแอนด์จีได้อย่างราบรื่น ช่วยผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตในระดับเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง
• มุ่งเน้นทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์เพื่อผลักดันการเติบโตในอนาคต
• ยอดส่งออกทะลุ 14,000 ล้านบาท
บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ประเทศไทย (พีแอนด์จี) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ สามารถรักษาภาวะการเติบโตในระดับเลขสองหลักในช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยการควบรวมธุรกิจกับยิลเลตต์และแฟ้บ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับรากฐานทางธุรกิจของบริษัทฯ
“พีแอนด์จี สามารถรักษาภาวะการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องได้ในปีที่ผ่านมา ด้วยการทำความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค และตอบสนองความต้องการเหล่านั้นด้วยนวัตกรรมสินค้าที่หลากหลายและการปฏิบัติการที่ยอดเยี่ยม” นางสาวปริญดา หัศฎางค์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีแอนด์จี ประเทศไทย กล่าวถึงภาพรวมการเติบโตของพีแอนด์จี
นางสาวปริญดากล่าวว่า การควบรวมและผนวกยิลเลตต์และแฟ้บเข้าในสายผลิตภัณฑ์ของพีแอนด์จี ประเทศไทย เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไฮไลท์ของบริษัทฯในช่วงปีที่ผ่านมา
การที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ใบและด้ามมีดโกนหนวดของยิลเลตต์ ซึ่งได้ผนวกรวมเข้ากับพีแอนด์จีเมื่อปีที่แล้ว มีอัตราการเติบโตในระดับเลขสองหลัก เป็นผลมาจากการพัฒนานวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ และกลยุธ์การกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจใบและด้ามมีดโกนหนวดมีมากถึงร้อยละ 70 ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ซักและถนอมผ้าแฟ้บ มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ภายหลังจากประสบกับภาวะถดถอยเป็นเวลาหลายปีก่อนที่ควบรวมกับพีแอนด์จี เมื่อช่วงวันพ่อแห่งชาติที่ผ่านมา พีแอนด์จีได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ซักและถนอมผ้าสูตรใหม่ แฟ้บกลิ่นดอกมะลิ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความเข้าใจพื้นฐานของผู้บริโภคท้องถิ่นกับความผูกพันกลิ่นของมาลัยดอกมะลิที่มักถูกนำมาใช้เพื่อระลึงถึงบุญคุณบุพการีอยู่เสมอ
“พีแอนด์จี เป็นผู้นำทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ซักและถนอมผ้า และเราได้นำความเชี่ยวชาญดังกล่าวมาพัฒนาแบรนด์แฟ้บในประเทศไทย” นางสาวปริญดากล่าว “เรามุ่งทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย และตอบสนองความต้องการด้วยผลิตภัณฑ์ซึ่งผลิตขึ้นพิเศษสำหรับชาวไทย ที่ทำให้เสื้อผ้าขาวสะอาด และกลิ่นหอมสดชื่น นี่คือตัวอย่างสำคัญของการสร้างชีวิตใหม่ให้กับ แบรนด์ ผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและตอบโจทย์ความต้องการของท้องถิ่น”
นอกจากนั้น พีแอนด์จียังเผยถึงการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและเส้นผม โดยผลิตภัณฑ์โอเลย์ยังคงครองความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของประเทศไทยเป็นปีที่สาม ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม นางสาวปริญดาเปิดเผยว่า มีการเติบโตในด้านส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นเช่นกัน
“ผู้บริโภคชาวไทยมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม” นางสาวปริญดากล่าว “ด้วยเหตุนี้ พีแอนด์จี จึงปรับเปลี่ยนและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์ แพนทีน โปร-วี รีจอยส์ และ เฮดแอนด์โชว์เดอร์ และทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ ภายใต้แบรนด์หลัก เช่น รีจอยส์ สูตรซันแคร์ และรีจอยส์ สูตรฟรุ๊ตตี้ และเฮอร์เบิล เอสเซ้นส์เซ็ส สูตรซิตรัส ลิฟท์ นอกจากนั้น ได้ทำการปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารกับผู้บริโภค ผ่านรายการเรียลลิตี้โชว์ อาทิ อะคาเดมี่ แฟนตาเชีย ซึ่งสามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ เพื่อการสื่อสารของแบรนด์ แพนทีน โปร-วี โอเลย์ และยิลเลตต์ให้ดียิ่งขึ้น”
“ความสำเร็จของทั้งสองกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและเส้นผมนับเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงถึงรากฐานทางธุรกิจอันแข็งแกร่งของพีแอนด์จี” นางสาวปริญดากล่าว “เราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย และเราบอกพวกเขาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของเราด้วยวิธีการสื่อสารที่เข้าถึงระดับตัวบุคคล”
การพัฒนาบุคลากรของพีแอนด์จี
นางสาวปริญดาเปิดเผยว่าในบรรดาปัจจัยต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่ผ่านมา การพัฒนาทรัพยากรบุคคลนับเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน พีแอนด์จีทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเพื่อการฝึกฝนและพัฒนาบุคลากรทุกคนที่ทำงานอยู่ในภาคส่วนต่างๆ ของบริษัทฯ รวมถึงพนักงานที่ประจำอยู่ในฐานการผลิตในกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อความงามที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย
นางสาวปริญดากล่าวว่า พีแอนด์จี จัดโปรแกรมฝึกฝนสำหรับพนักงานโดยเฉลี่ย 92 ครั้งต่อปี พนักงานใหม่สามารถใช้เวลามากถึงร้อยละ 40 ของการทำงานเข้าอบรมในคอร์สเรียนและกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถอย่างมืออาชีพ และที่สำคัญโปรแกรมการฝึกฝนของพีแอนด์จีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง พนักงานพีแอนด์จีใช้เวลามากกว่าร้อยละ 10 ในการเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนให้เป็นมืออาชีพ นักสร้างแบรนด์ เพื่อนร่วมงาน และผู้นำที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ นางสาวปริญดาเองก็เป็นผู้ให้การฝึกอบรมในคอร์สฝึกอบรมจำนวนสี่คอร์สในทุก ๆ ปี
การพยายามหาวิธีทางเพื่อช่วยให้บุคลากรมีชีวิตการทำงานที่ก้าวหน้า ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่พีแอนด์จีให้ความสำคัญมาก สิ่งนี้คือหนึ่งในกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคลากรระดับมืออาชีพและมีศักยภาพสูงจากคน ‘เจนเนอเรชั่น Y’ ซึ่งได้แก่ ประชาชนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 29 ปี โดยปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของบุคลากรของพีแอนด์จี ประเทศไทย คือ 28 ปี
ในปีที่ผ่านมา พีแอนด์จีทำการจัดตั้งโครงการเพื่อให้อิสระกับพนักงานในการทำงานจากบ้านได้หนึ่งวันต่อสัปดาห์ นอกจากนั้น พีแอนด์จี ได้จัดเตรียมงบประมาณเพื่อซื้ออุปกรณ์สำนักงาน และเพื่อวางระบบการเชื่อมต่อแบบบรอดแบรนด์ให้กับพนักงาน ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับผลตอบรับในระดับที่น่าพอใจ
“บุคลากรของพีแอนด์จีสามารถทำงานได้ทันตามกรอบเวลา ไม่ว่าที่ไหน เวลาใด โครงการที่จัดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นว่าความยืดหยุ่นในการทำงานเป็นหนึ่งปัจจัยในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ” นางสาวปริญดากล่าว “เราสามารถรักษาการเติบโตในระดับเลขสองหลักได้ พร้อมกับสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้กับพนักงานของเรา”
นอกจากนั้น พีแอนด์จีได้ลงทุนจัดตั้งโครงการสำหรับบุคลากรหญิงในบริษัทฯ ซึ่งเป็นโครงการสัมมนาประจำปีที่ผู้บริหารหญิงระดับสูงได้บอกเล่าถึงกลยุทธ์ด้านความสำเร็จ ให้กับพนักงานหญิงในระดับรองลงมาให้ได้รับฟัง โดย พีแอนด์จี ประเทศไทย มีบุคลากรเพศหญิงถึงร้อยละ 60 ของบุคลากรทั้งหมด ซึ่งบุคลากรเพศหญิงดำรงตำแหน่งในทุกระดับชั้นของบริษัทฯ
ความทุ่มเทของพีแอนด์จีในการพัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงาน สามารถเห็นได้ชัดเจนจากสถานที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมการทำงานของ บริษัท พีแอนด์จี ประเทศไทย ซึ่งที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ สมาชิกทีมทุกคนในบริษัทฯ ตั้งแต่ผู้บริหารระดับอาวุโสจนถึงพนักงานใหม่ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามีห้องทำงานที่เหมือนกัน เนื้อที่ของห้อง โต๊ะทำงาน โทรศัพท์ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล สวัสดิการด้านสุขภาพ และการแต่งตัวของพนักงานทุกคนล้วนไม่แตกต่างกัน
“สถานที่ทำงานของเรามีความโดดเด่น เราทำงานหนักเพื่อคงไว้ซึ่งนโยบายที่ทำให้เกิดการพัฒนาอันเกี่ยวข้องกับวิธีที่เราปฏิบัติต่อพนักงาน” นางสาวปริญดากล่าว “นี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พีแอนด์จีเป็นบริษัทฯ ที่คนรุ่มใหม่อยากมาร่วมงาน และเป็นผู้นำในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคจวบจนทุกวันนี้”
มองการณ์ไกล: ลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
พีแอนด์จีสามารถรักษารากฐานเดิมในการผลักดันให้เกิดการเติบโตในระดับเลขสองหลัก ซึ่งเป็นแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน “ในช่วงปีที่ผ่านมา เราลงทุนครั้งใหญ่ในการควบรวมยิลเลตต์และแฟ้บ ซึ่งส่งผลให้ พีแอนด์จี มีสายผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งขึ้นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้ช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตทางธุรกิจ พีแอนด์จี ตั้งเป้าการลงทุนอย่างต่อเนื่องในฐานการผลิตในกรุงเทพ ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย ยอดส่งออกของเราขยายตัวจากปีที่แล้วมีมูลค่า 14,000 ล้านบาท” นางสาวปริญดากล่าว
ในขณะเดียวกัน เราจะยังคงมุ่งเน้นที่รากฐานทางธุรกิจ และฝึกอบรมบุคลากรของเรา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน
เกี่ยวกับพีแอนด์จี
พีแอนด์จีเข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2530 และกำลังจะครบรอบ 20 ปี ในปีนี้ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 900 คน ประจำที่สำนักงานในกรุงเทพฯ ที่ฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ และที่ศูนย์กระจายสินค้าประจำภูมิภาค ผลิตภัณฑ์ของพีแอนด์จีในประเทศไทย ประกอบด้วย แพนทีน โปร-วี รีจอยส์ เฮดแอนด์โชวเดอร์ แคล์รอล เวลล่า โอเลย์ เอสเค-ทู เซฟการ์ด แพมเพอร์ส วิสเปอร์ วิคส์ พริงเกิลส์ ออรัล-บี ยิลเลตต์ บราวน์ แฟ้บ และ เพค
ผู้บริโภคทั่วโลกได้สัมผัสผลิตภัณฑ์พีแอนด์จี มากกว่า 3,000 ล้านครั้งต่อวัน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์พีแอนด์จีมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตใหักับผู้บริโภคทั่วโลกเช่นกัน โดยพีแอนด์จี ผลิตและจำหน่ายตราผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับถึงความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และความเป็นผู้นำ ซึ่งรวมถึงตราผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้ อาทิ Pampers?, Tide?, Ariel?, Always?, Whisper?, Pantene?, Mach3?, Bounty?, Dawn?, Pringles?, Folgers?, Charmin?, Downy?, Lenor?, Iams?, Crest?, Oral-B?, Actonel?, Duracell?, Olay?, Head & Shoulders?, Wella, Gillette?, และ Braun ปัจจุบัน พีแอนด์จี มีพนักงานรวมกว่า 135,000 คน กระจายอยู่ในเกือบ 80 ประเทศทั่วโลก ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทฯ และตราผลิตภัณฑ์ ได้ที่เว็ปไซต์ http://www.pg.com