เสนาดีเวลลอปเม้นท์ โหมแคมเปญ ซื้อบ้านไม่ต้องเสียทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 2 ปี เชื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ-การเมืองผันผวน มั่นใจได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าไม่ว่าจะซื้ออยู่เองหรือให้เช่า เหตุผู้ซื้อปลอดต้นทุนนาน 700 วัน พร้อมมั่นใจว่าเมื่อรัฐบาลออกมาสร้างความเชื่อมั่นพร้อมออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ และกรรมการบริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบแทนสังคมเพื่ออยู่อาศัย และเพื่อการลงทุนที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปี เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนและภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงปีนี้ผ่านมา มีสัญญาณชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้ผู้บริโภคต่างมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
ดังนั้น ในภาวะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงเนื่องจากมีความไม่มั่นใจ จึงส่งผลให้การแข่งขันในภาคธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากที่หลายๆ บริษัทต่างงัดกลยุทธ์การลด แลก แจก แถม มาใช้เป็นโปรโมชั่นหลักในการบริหารโครงการต่างๆ เพื่อหวังกระตุ้นยอดขาย
“ในส่วนของบริษัทฯ เองได้มีการปรับสินค้าให้เหมาะสมกับตลาด เช่น การทำบ้านเดี่ยวขนาดเล็กลง เพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อรวมถึงการเตรียมรุกโปรโมชั่นทางด้านการเงินรอบใหม่ ที่ได้ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในการจัดแคมเปญ “บ้านราคาเดิม โอนพร้อมเข้าอยู่ ปลอดต้นปลอดดอก 2 ปี” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทฯ นำออกมาใช้ เพื่อเสนอเป็นทางเลือกในการซื้อบ้านได้ง่ายขึ้นแก่กลุ่มผู้สนใจ โดยแคมเปญดังกล่าวสามารถสานฝันผู้ที่อยากมีบ้านแต่ยังไม่พร้อมที่จะจ่ายเงินก้อนได้ ภายใต้เงื่อนไขที่สบายกว่า โดยโปรโมชั่นดังกล่าวได้ขยายเวลาถึงสิ้นปี โดยสามารถสอบถามรายละเอียดโครงการได้ที่ 085-159-3113,085-159-3773 หรือทาง www.senadevelopment.com” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
สำหรับจุดเด่นของแคมเปญนี้ ลูกค้าสามารถซื้อบ้านได้ในราคาเดิม โดยหลังจากที่ผ่านการพิจารณาการขอสินเชื่อของธนาคารตามหลักเกณฑ์ปกติแล้ว ทำการโอนกรรมสิทธิ์และเข้าอยู่ได้ทันที โดยยังไม่ต้องผ่อนชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีสภาพคล่องมากขึ้นในช่วงแรก โดย สามารถนำเงินไปใช้ในการตกแต่งบ้าน หรือเก็บไว้ผ่อนชำระกับธนาคารเมื่อถึงกำหนดเวลา ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้ลูกค้าสามารถมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ โครงการในกลุ่มของเสนาฯ ที่เข้าร่วมแคมเปญมีทั้งหมด 6 โครงการ โดยจะเป็นบ้านระดับราคา 1-5 ล้านบาทในย่าน รามอินทรา และรังสิต อาทิ เช่นโครงการวิลล่ารามอินทรา, โครงการเสนาแกรนด์โฮม รังสิต,โครงการเสนาวิลล่ารามอินทรา, โครงการแพรมาพร คลอง4 และ 7 ทั้งนี้รวมถึงโครงการบ้านร่วมทางฝัน โครงการที่ทางบริษัทฯ ดำเนินงานเพื่อนำผลกำไรมอบให้กับทางโรงพยาบาลศิริราช
“แคมเปญดังกล่าว นอกจากจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่เองแล้ว ยังเหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุนให้เช่า เนื่องจากเป็นการซื้อบ้านโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่มีภาระในระยะเวลา 2 ปีแรก โดยสามารถนำบ้านให้เช่า เพื่อสร้างรายได้ในระยะเวลาที่ไม่ต้องผ่อนชำระ และขายในปีที่ 3 จะถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่มีต้นทุน ซึ่งแนวทางนี้ถือได้ว่า เป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะกับความรู้สึกไม่แน่นอนเช่นนี้” ผศ.ดร.เกษรากล่าว
“ในครึ่งปีหลังแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์น่าจะดีขึ้น หากปัจจัยทางการเมืองชัดเจน โดยเฉพาะหากการเลือกตั้งทำได้ตามกำหนด ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว และกำลังซื้อผู้บริโภคจะกลับคืนมา โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดลง ผู้ประกอบการมีโปรโมชั่นที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์อยู่ในระดับที่น่าสนใจ” ผศ.ดร.เกษรากล่าว
ทั้งนี้ เสนาฯ ได้เปิดตลาดซิตี้คอนโดมิเนียม บนถนนสุขุมวิท 49 ที่เน้นความสะดวกสบายในการเดินทาง โดยอยู่ในรัศมีไม่ห่างจากแนวระบบขนส่งมวลชน(รถไฟฟ้า) บรรยากาศโครงการถูกออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัวในทำเลกลางใจเมือง โดยเปิดขายในระดับราคาเพียงตรม.ละ 48,000 บาท ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนจะเปิดโครงการใหม่และพัฒนาโครงการต่อเนื่องจากโครงการเดิม ร่วมไปถึงการเปิดดำเนินการอพาร์ตเมนต์ ในซอยพหลโยธินซอย 30 ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มมีผู้เข้าพักแล้ว
บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่เน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัย มีการบริการหลังการขายที่ดีในราคาที่แข่งขันได้ให้กับลูกค้า โดยดำเนินธุรกิจทั้งการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยและการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ และที่สำคัญจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความเสี่ยงต่ำ พร้อมทั้งยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นที่ตั้ง เพื่อความชัดเจนโปร่งใสแก่ลูกค้าและผู้ลงทุนทุกคน ภายใต้ปณิธานที่ว่า “จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมเมือง ให้น่าอยู่”