TFUND เดินหน้าเพิ่มทุนรอบ 2 ชูจุดเด่นอัตราการเช่าสูงตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโต

“กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน” เดินหน้าเพิ่มทุนรอบ 2 ลงทุนเพิ่มในโรงงานให้เช่า 47 โรง มูลค่าเกือบ 2 พันล้านบาท พร้อมตั้งหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นแกนนำขายผ่านธนาคารกรุงเทพ ระหว่างวันที่ 15-22 ตุลาคมนี้ ด้าน บลจ.ไอเอ็นจี ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนมั่นใจศักยภาพทรัพย์สิน เชื่อผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจ

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติให้ TFUND ดำเนินการเพิ่มทุนเป็นครั้งที่ 2 เรียบร้อยแล้ว

โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้ TFUND จะลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 47 โรง คิดเป็นพื้นที่ 95,925 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่า 1,940 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับส่วนที่ลงทุนอยู่แล้ว จะทำให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ TFUND เข้าไปลงทุนทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 131 โรง คิดเป็นพื้นที่ 286,482 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 5,777 ล้านบาท

ทั้งนี้ โรงงานอุตสาหกรรมดังกล่าวกระจายอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมของประเทศรวมทั้งสิ้น 8 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร นิคมอุตสาหกรรมบางปู สวนอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้

สำหรับจุดเด่นของ TFUND นั้น อยู่ที่การเติบโตอย่างต่อเนื่องตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากการขยายขนาดเงินทุนของโครงการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ของ TFUND จึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนทั่วไปจะสามารถมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมที่มีรายได้ประจำผ่านกองทุนรวม ซึ่งนับเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจาก TFUND มีความหลากหลายทั้งประเภทของอุตสาหกรรมและสัญชาติของผู้เช่า

“ผู้ลงทุนยังมั่นใจได้ในศักยภาพของสินทรัพย์ที่ TFUND เข้าไปลงทุน โดยเฉพาะอัตราการเช่าพื้นที่ซึ่งสูงถึง 95% เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดล้วนอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ โดยอยู่ใกล้แหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ มีจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่ง ทั้งสนามบิน ท่าเรือ ที่สำคัญก็คือ สินทรัพย์ดังกล่าวอยู่ภายใต้การบริหารโดยทีมงานมืออาชีพของบริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ซึ่งมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน” กรรมการผู้จัดการ บลจ.
ไอเอ็นจี กล่าว

กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี กล่าวด้วยว่า เมื่อพิจารณารายได้ค่าเช่าของโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว จะเห็นว่ายังมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการพื้นที่โรงงานที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของ TFUND ด้วย โดยที่ผ่านมา TFUND สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้ถึงปีละ 4 ครั้ง ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 8.00%

นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อีกด้วย จึงนับว่า TFUND เป็นอีกทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนที่ต้องการอัตราผลตอบแทนที่มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ในฐานะผู้บริหารทรัพย์สิน กล่าวว่า จากการที่บริษัทฯ มีประสบการณ์ในการสร้างโรงงานสำเร็จรูปมากว่า 15 ปี ทำให้ลูกค้ามั่นใจในประสิทธิภาพของโรงงาน โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่ไม่ต้องการใช้เงินลงทุนซื้อสินทรัพย์หรือซื้อที่ดินแล้วนำมาสร้างโรงงานของตัวเอง แต่ต้องการเช่าโรงงานคุณภาพมาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงด้านการลงทุน

“ลูกค้ากลุ่มหลักของ TICON จะอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็คทรอนิคส์ขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเป็นบริษัทที่ต้องการความรวดเร็วในการดำเนินงาน จึงมีความต้องการเช่าโรงงานที่พร้อมสำหรับใช้งาน โดยขณะนี้ลูกค้าได้เช่าโรงงานไปแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ทั้งหมด และส่วนมากจะเป็นสัญญาระยะยาว” นายวีรพันธ์กล่าว

ขณะที่นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่าย กล่าวว่า จากการสำรวจความต้องการของนักลงทุน ทั้งผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมและนักลงทุนทั่วไป ทั้งลูกค้าสถาบันและลูกค้ารายย่อย พบว่าความสนใจลงทุนใน TFUND เป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากเป็นกองทุนที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารและที่ดินของโรงงานที่ให้เช่า และยังให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับที่น่าพอใจ

สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) จะเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 185 ล้านหน่วย ในระหว่างวันที่ 15-22 ตุลาคม 2550 โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหน่วยเดิม 50% และประชาชนทั่วไปอีก 50% ในราคาหน่วยละ 10.65 บาท รวมมูลค่า 1,970 ล้านบาท โดยในส่วนของประชาชนทั่วไปกำหนดการจองซื้อขั้นต่ำ 4,000 หน่วย และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณของ 1,000 หน่วย

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและจองซื้อได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือโทร.1333 บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2231-3777 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด โทร.0-2688-7777 และบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) โทร.0-2305-9000