ING คลอด“กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40”

บลจ.ไอเอ็นจีเดินเครื่องบุก 4 ตลาดเกิดใหม่ เข็น “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40” ลุยลงทุนบริษัทชั้นนำของบราซิล รัสเซีย อินเดียและจีน มั่นใจในศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจโลก พร้อมชูระบบคัดกรองหุ้นคุณภาพ ส่งผลตอบแทนกองทุนต้นทางพุ่งกว่า 47% เสนอขาย 22-29 พ.ย. จองขั้นต่ำแค่ 2 พันบาท

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไอเอ็นจี เตรียมเปิดขายกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศหรือ FIF กองใหม่ ภายใต้ชื่อ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 (Brazil Russia India China: BRIC)” ซึ่งเป็นกองทุนที่จะเน้นลงทุนในกิจการชั้นนำของ 4 ประเทศหลักที่กำลังมีบทบาทสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 22-29 พฤศจิกายนนี้ โดยกำหนดมูลค่าลงทุนขั้นต่ำเพียงแค่ 2,000 บาทเท่านั้น

กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ทั้ง 4 ประเทศกำลังมีบทบาทกับเศรษฐกิจโลกในขณะนี้และรวมทั้งในอนาคตด้วย ทั้งนี้คาดการณ์โอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรืออัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2008 ของบราซิลจะเติบโตเฉลี่ย 4.5% ต่อปี รัสเซียอยู่ในระดับ 6.4% ส่วน อินเดีย นั้นอยู่ในระดับ 7.9% และ จีนเติบโตอยู่ในระดับ 10% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมาก

“จุดเด่นของ บราซิล นั้น นอกจากจะเป็นแหล่งแร่โลหะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก อลูมิเนียม เอธานอล รวมถึงแพลทตินัมแล้ว ยังเป็นหนึ่งในผู้นำด้านผลผลิตทางการเกษตรชั้นนำของโลก ขณะที่ รัสเซีย นับว่าเป็นแหล่งน้ำมันที่ครอบคลุมกว่า 20% ของแหล่งน้ำมันทั่วโลก รวมถึงแหล่งก๊าซธรรมชาติที่แผ่ปกคลุมกว่า 35% ของแหล่งก๊าซธรรมชาติทั่วโลก ส่วน อินเดีย ก็เป็นผู้นำทางเทคโนโลยี โดดเด่นในเรื่องแรงงานที่มีทักษะการศึกษาสูง รวมทั้งการเติบโตของประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลกับกำลังซื้อภายในประเทศที่หนาแน่น และจีน ที่คาดกันว่าจะขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2040 ที่จะมาถึง โดยปัจจุบันจีนครองตำแหน่งประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก แต่หากพิจารณาในด้านประชากร ซึ่งเมื่อนับรวมทั้ง 4 ประเทศนี้จะมีประชากรรวมกันถึงประมาณ 43% ของประชากรทั่วโลก โดยภาพรวมของแนวคิดการลงทุนเราสามารถเห็นภาพที่ชัดเจนว่า จีนและอินเดีย เป็นผู้บริโภคที่มีกำลังมหาศาล ในขณะที่รัสเซียและบราซิล มีแหล่งทรัพยากรที่ใหญ่มาก ดังนั้น ทั้ง Demand และ Supply เปรียบเสมือน 2 พลังขับเคลื่อนอันแข็งแกร่งที่ก่อให้เกิดการขยายตัวอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจโลก ตลอดจนถึงกำลังซื้ออันมาจากการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางที่มีรายได้ดีขึ้นในกลุ่มประเทศทั้ง 4” นายมาริษกล่าว

ทั้งนี้ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 จะลงทุนในกองทุน SPDR S&P BRIC 40 ETF (BIK) ซึ่งเป็นกองทุนรวมดัชนี ที่ใช้กลยุทธ์ในการบริหารจัดการเลียนแบบการลงทุนตามดัชนีอ้างอิง ได้แก่ S&P BRIC 40 Index เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง

โดยกองทุน SPDR S&P BRIC 40 ETF (BIK) จัดตั้งและบริหารจัดการโดย State Street Global Advisors ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารจัดการกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และกองทุน SPDR S&P BRIC 40 ETF (BIK) ยังจดทะเบียนเพื่อทำการซื้อขายในตลาด American Stock Exchange: (AMEX) อีกด้วย ขณะที่ดัชนีที่ใช้อ้างอิงอย่าง S&P BRIC 40 Index ก็ถือเป็นดัชนีที่มีความน่าเชื่อถือสูง และเป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วไปใช้อ้างอิงมากที่สุด

สำหรับดัชนี S&P BRIC 40 Index คำนวณจากหุ้นที่ลงทุนทั้งหมด 40 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำใน 4 ประเทศ ที่จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองทั้งในแง่มูลค่าตามราคาตลาดรวมที่ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง โดยจะต้องมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วง 3 เดือนล่าสุดไม่น้อยกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หลักทรัพย์ที่เลือกลงทุนจะต้องเป็นหลักทรัพย์ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนได้ และต้องจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้แก่ The Hong Kong Stock Exchange, The London Stock Exchange, NASDAQ และ New York Stock Exchange (NYSE)

ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน SPDR S&P BRIC 40 (BIK) ซึ่งเป็นกองทุนต้นทางของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40” ที่ผ่านมานั้น หากพิจารณาในช่วง 3 เดือนย้อนหลังนับจากวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ปรากฏว่า ผลตอบแทนอยู่ที่ 42.34% และผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 47.60% สูงกว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนี S&P BRIC 40 Index ที่เป็นดัชนีอ้างอิง ซึ่งอยู่ที่ 39.55% และ 46.71% ตามลำดับ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ไอเอ็นจี โทร. (02) 688-7777 กด 2 หรือ
www.ingfunds.co.th โดยในช่วงเสนอขายกับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อลงทุนทุกๆ 1 ล้านบาทจะได้รับ Central Gift Voucher มูลค่า 1,000 บาท