ดิ แอลโคฟ ( The Alcove ) กลุ่มบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทเซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ คอนโด และโรงแรม เปิดตัวโครงการภายใต้ แบรนด์ ดิ แอลโคฟ ใหม่ 5 โครงการรวด มูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท บุกทำเลทองย่านทองหล่อ และสุขุมวิท เน้นจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก
นายอนันต์ สิงห์จิรกุล ผู้อำนวยการ กลุ่มบริษัท ดิ แอลโคฟ ( The Alcove ) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 5 โครงการอันได้แก่ โครงการด้าน เซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ 2 แห่ง คือ ดิ แอลโคฟ เรสซิเด้นต์ ทองหล่อ 23 และ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 5 โครงการ คอนโดมิเนียม 2 แห่ง คือ ดิ แอลโคฟ สุขุมวิท 49 และ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 10 และโครงการด้านโรงแรมอีก 1 แห่ง คือ เบสท์ เวสเทิร์น แอลโคฟ ฮิปติก สุขุมวิท 13 ซึ่งบางโครงการยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าภายในปีนี้จะสามารถก่อสร้างได้แล้วเสร็จทุกโครงการ
“ แบรนด์ ดิ แอลโคฟ ( The Alcove ) จะเน้นทำตลาดเฉพาะในสุขุมวิท และทองหล่อ เท่านั้น เนื่องจากย่านนี้เป็นที่รู้จักกันมานานสำหรับชาวต่างชาติ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในส่วนของร้านค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง และการอยู่อาศัยของผู้คน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งราคาเฉลี่ยของคอนโดในย่านนี้อยู่ที่ประมาณ 98,000 บาทต่อตารางเมตร และมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 10% เนื่องมาจากค่าก่อสร้าง และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ในส่วนคอนโดมิเนียมของ ดิ แอลโคฟ ทั้ง 2 โครงการ คือที่ สุขุมวิท 49 และทองหล่อ 10 มีราคาเฉลี่ยประมาณ 95,000 บาทต่อตารางเมตร ออกแบบภายใต้แนวคิด คอนเซ็ปต์ คอนโด คือ มีความโดดเด่นในด้านการจัดวางพื้นที่ใช้สอยอย่างชาญฉลาด และคุ้มค่าทุกตารางเมตร ปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้ง 2 โครงการมีมูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ” นายอนันต์ กล่าว
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ล่าสุดของรัฐบาล ยังส่งผลดีต่อธุรกิจคอนโดมิเนียม ในภาพรวม เนื่องจากช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ และผู้ซื้อ ทั้งในแง่ภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าธรรมเนียมการโอน ในส่วนของกลุ่ม ดิ แอลโคฟ โครงการ สุขุมวิท 49 ได้ผลดีแน่นอน เพราะเกือบพร้อมโอนแล้ว แต่สำหรับ ทองหล่อ 10 ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานนโยบายดังกล่าว และที่สำคัญ โครงการทั้ง 2 ผ่านการอนุมัติจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมแล้ว ทำให้ผู้ซื้อโครงการมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
สำหรับ ตลาด เซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ ในย่านสุขุมวิท และทองหล่อยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตัวเลขชาวต่างชาติ ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย เติบโตขึ้นทุกปี กลุ่ม ดิ แอลโคฟ เองประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากโครงการแรก ที่ ซอยทองหล่อ 23 ทำให้ในปีนี้ ดิ แอลโคฟ จึงได้ริเริ่มโครงการ เซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ แห่งใหม่ ที่ ซอยทองหล่อ 5 เป็นโครงการขนาด 8 ชั้น 46 ห้อง โดยจะสามารถเปิดให้บริการได้ในต้นปีหน้า โครงการในส่วนของธุรกิจ เซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ ของกลุ่ม ดิ แอลโคฟ มีมูลค่ารวมกันประมาณ 500 ล้านบาท
ในส่วนของธุรกิจโรงแรมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทของกลุ่ม ดิ แอลโคฟ มีความเชื่อมั่นว่าจะยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ด้วยจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวกว่า 12 ล้านคนต่อปี ที่เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ดิ แอลโคฟ ได้มอบหมายให้ เบสท์ เวสเทิร์น ( Best Western ) ซึ่งเป็นเครือโรงแรมที่มีเครือข่ายสากลมากที่สุดในโลก เป็นผู้บริหารรับผิดชอบด้านการตลาด โดยใช้ชื่อ เบสท์ เวสเทิร์น แอลโคฟ ฮิปติก ตั้งอยู่ที่ ถนนสุขุมวิท 13 จับกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว และนักธุรกิจ เบสท์ เวสเทิร์น แอลโคฟ ฮิปติก เป็นโรงแรมบูติคขนาดกลางที่มีความหลากหลายของห้องให้เลือก เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,500 – 3,000 บาทต่อคืน ซึ่งเป็นราคาที่สามารถแข่งขันได้เป็นอย่างดี สำหรับธุรกิจด้านโรงแรมในย่านนี้
เกี่ยวกับ กลุ่มบริษัท ดิ แอลโคฟ – ประกอบด้วย 4 บริษัท อันได้แก่ 1. บริษัท มานัส พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบโครงการด้าน เซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ 2. บริษัท ซามิราโน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 3. บริษัท ซามิราโน่ ( ทองหล่อ 10 ) จำกัด 2 บริษัทนี้ ดูแลรับผิดชอบโครงการด้าน คอนโดมิเนียม และ 4. บริษัท เอเอเจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดูแลรับผิดชอบโครงการด้านโรงแรม