แอคคอร์วางแผนขยายเครือข่ายมีเป้าหมายจะเปิดโรงแรมเพิ่ม 12 แห่งในไทยภายในปี 2553

แอคคอร์ กลุ่มบริหารโรงแรมระดับนานาชาติที่มีการจัดกิจกรรมอันเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จัดงานเอ็กซ์โปเพื่อแนะนำธุรกิจและการขายประจำปี “เวิลด์ ออฟ แอคคอร์” (World of Accor) ในวันนี้ หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามในประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์

งาน “เวิลด์ ออฟ แอคคอร์” นับเป็นงานเอ็กซ์โปที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ในงานนี้ แอคคอร์ได้แนะนำบริการ โรงแรม และวิสัยทัศน์ใหม่ในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนให้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มบริษัทแอคคอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ปัจจุับัน แอคคอร์เน้นการพัฒนาขยายเครือข่ายโรงแรมเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำหรับปี พ.ศ.2551 นี้ บริษัทฯ จะรวมแบรนด์ในเครือให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งยกระดับภาพลักษณ์โดยรวมขององค์กรโดยให้ความสำคัญที่ประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยได้กลายเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และอินเดีย ซึ่งนับเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทฯ จัดงาน เวิลด์ ออฟ แอคคอร์อย่างต่อเนื่อง

ไอบิส (Ibis) แบรนด์โรงแรมราคาประหยัดในเครือแอคคอร์

ปัจจุบัน แอคคอร์บริหารงานโรงแรมในประเทศไทยรวม 36 แห่ง และวางแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 12 แห่งภายในปี พ.ศ.2553 โดยภายในต้นปี พ.ศ.2552 ทางบริษัทฯ วางแผนเปิดโรงแรมภายใต้แบรนด์ไอบิสเพิ่ม อย่างน้อย 4 แห่ง ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศไทย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พัทยา ศรีราชา ภูเก็ต กระบี่ เกาะสมุย และหัวหิน

ไอบิสดำเนินงานโรงแรม 745 แห่ง ใน 35 ประเทศ (19 ประเทศในยุโรป) โรงแรมไอบิสถือเป็นเครือข่ายโรงแรมราคาประหยัดในทวีปยุโรป นับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการในปี พ.ศ.2517 ไอบิสสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับตลาดโรงแรมระดับราคาประหยัด ไอบิสเป็นที่รู้จักอย่างดีในการให้บริการคุณภาพในระดับราคาที่เหมาะสม โดยคุณภาพถือเป็นหลักสำคัญในกลยุทธ์ทางการตลาดของแบรนด์ไอบิส ทั้งนี้ การรับประกันความพึงพอใจใน 15 นาที และมาตรฐานการบริหารงานคุณภาพระดับ ISO 9001 ถือเป็นหลักปฏิบัติืสำคัญของแบรนด์ที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจถึงคุณภาพการบริการ โดยมีทีมงานที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับ รวมทั้งการตอบสนองทุกความต้องการพิเศษ อาทิ อาหารว่างค่ำคืน หรือแม้กระทั่งบริการส่งแฟกซ์ยามดึก

แบรนด์ “พูลแมน” ของแอคคอร์ขยายธุรกิจในประเทศไทย แนะนำโรงแรมใหม่ “พูลแมน ขอนแก่น”

เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับโลกของแอคคอร์ในการขยายธุรกิจ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โรงแรมโซฟิเทล ขอนแก่น จะเปลี่ยนนโยบายทางการตลาดและเปิดตัวใหม่ภายใต้ชื่อ พูลแมน ขอนแก่น ซึ่งกลยุทธ์ใหม่ของแอคคอร์ในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดนี้ ได้ถูกประกาศเมื่อปี พ.ศ.2550 โดยกลุ่มโรงแรมชั้นดี (พูลแมน) และกลุ่มโรงแรมหรูหรามีระดับ (โซฟิเทล) จะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อความเหมาะสมทางการให้บริการ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในตลาดธุรกิจโรงแรม รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการต่างๆ ที่หลากหลายทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ภายในสิ้นปี พ.ศ.2551 เครือข่ายโรงแรมพูลแมนจะมีมากถึง 50 แห่ง พร้อมห้องพักกว่า 13,000 ห้องใน 23 ประเทศทั่วยุโรป เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ ทั้งนี้ โรงแรมภายใต้แบรนด์พูลแมนจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าจะเปิดดำเนินการอีกประมาณ 18 แห่ง ภายในปี พ.ศ.2553

ธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย

มร. ไมเคิล ไอเซนเบิร์ก ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ของแอคคอร์ เอเชีย แปซิฟิก ผู้ดำเนินการจัดงาน “เวิลด์ ออฟ แอคคอร์” ที่กรุงเทพฯ ในครั้งนี้ กล่าวว่า “แอคคอร์คาดว่าจะสามารถให้บริการห้องพักมากกว่า 10,000 ห้อง และมีพนักงานมากกว่า 10,000 คนในประเทศไทยภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ และเชื่อว่าการลงทุนในธุรกิจโรงแรมจะยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม”

ข้อมูลดังกล่าวส่งผลต่อแผนงานด้านจำนวนห้องพักใหม่ในกรุงเทพฯ โดยผลจากการสำรวจพบว่าจะมีห้องพักเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นอีกกว่า 4,000 ห้องภายในสิ้นปี พ.ศ.2554

มร. ไอเซนเบิร์ก กล่าว “ข้อมูลตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นเป็นสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจโรงแรม ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และธุรกิจสปาจะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมอัตราการเติบโตของตลาดนี้ได้”

อีกทั้งตัวเลขเหล่านี้ยังสะท้อนให้เห็นในผลประกอบการการดำเนินงานโดยรวมของแอคคอร์สำหรับใน ไตรมาสแรกของปี โดยในสามเดือนแรกของปี พ.ศ.2551 นี้ บริษัทฯ มีผลประกอบการเพิ่มขึ้น 14 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 27 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

มร. ไอเซนเบิร์ก ได้กล่าวสรุปว่า “ถึงแม้ว่าบางฝ่ายยังกังวลถึงความมั่นคงทางการตลาดของประเทศไทยในปีนี้ แต่สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวนั้นจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเราหวังว่าเราจะเห็นการเติบโตต่อไปจนถึงสิ้นปี”