บลจ.ฟิลลิป เดินหน้าจับมือพันธมิตรต่างชาติ เจรจาหน่วยงานของรัฐ ตั้งกองทุนบริหารเม็ดเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมเตรียมคลอดกองทุน RMF แบบผสมตราสารหนี้และหุ้นเพื่อประโยชน์ด้านภาษีเอาใจนักลงทุน มั่นใจขยายฐานลูกค้าใหม่ 30% ดันมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารปีนี้แตะ 1,000 ล้านบาท
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อบริหารเงินให้กับหน่วยงานของรัฐ โดยจะร่วมกับพันธมิตรจากต่างประเทศ เช่น สถาบันการเงินชั้นนำจากฮ่องกงและสิงคโปร์
“เรามีแผนที่จะตั้งกองทุนที่บริหารเงินให้กับหน่วยงานของรัฐ โดยจะเสนอเป็นลักษณะกองทุนรวมแล้วให้หน่วยงานของรัฐบางแห่งเป็นผู้ซื้อหน่วยลงทุน จากนั้น เราจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่เป็นพาร์ทเนอร์กับเรา ซึ่งจะมีทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงกองทุนในยุโรปด้วย” นายวรรธนะกล่าว
สำหรับกองทุนดังกล่าวคาดว่าจะเปิดได้ประมาณ 1-3 กองทุน มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยเบื้องต้นจะให้เป็นการคุ้มครองเงินต้น 100%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะออกกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีนโยบายการลงทุนแบบผสมทั้งตราสารหนี้ และหุ้น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้า หลังจากที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ออกกองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ PFIXRMF ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนสนใจมากยิ่งขึ้น
“ในครึ่งปีหลัง เราก็จะออกกองทุนใหม่อีกหนึ่งตัว ก็คือ กอง RMF ซึ่งจะเป็นแบบผสมทั้งลงทุนในตราสารหนี้และหุ้น เนื่องจากมองว่า กองผสมจะมีความยืดหยุ่นได้สูงกว่ากองหุ้น เพราะมีโอกาสที่เราจะหนีได้ ถ้าหุ้นไม่ดี เราก็หนีได้ไปลงทุนตราสารหนี้มากขึ้นได้” นายวรรธนะกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ฟิลลิป กล่าวต่อว่า ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดในปีนี้ยังคงเน้นช่องทางการขายผ่านตัวแทนขายทั้ง 7 แห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง คือ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)บล. ไอร่า จำกัด (มหาชน) บล. ภัทร จำกัด (มหาชน) บล. เกียรตินาคิน จำกัด บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บล. ซิกโก้ จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ จากกลยุทธ์การตลาด และการเปิดกองทุนใหม่ดังกล่าว คาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ประมาณ 30% ขณะที่บริษัทฯ ตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 590 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 70%
