ตลท. เปิดเวทีระดมความเห็นเรื่องมาตรการภาษีส่งเสริมบริษัทเข้าจดทะเบียน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการพัฒนาวิชาการทางนิติศาสตร์ได้ร่วมกันจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับ “มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมตลาดทุน กรณีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” ในวันนี้ (16 มิถุนายน 2551) โดยมีผู้แทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากร ตลอดจนคณะทำงานด้านภาษีเพื่อพัฒนาตลาดทุนร่วมให้ความเห็นราว 100 คน

รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ จุฬาฯ อยู่ระหว่างจัดทำโครงการศึกษามาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมตลาดทุน : ศึกษากรณีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการศึกษาและพัฒนาประมวลรัษฎากรจัดตั้งเพื่อศึกษาและปรับปรุงประมวลรัษฎากร ของศูนย์วิจัยกฎหมายและพัฒนา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยโครงการดังกล่าวจะทำให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินมาตรการด้านภาษีเพื่อการพัฒนาตลาดทุนต่อไป

นายอัครพงษ์ ไทยานนท์ ผู้แทนจากสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย เปิดเผยว่า ภาครัฐถือว่ามีบทบาทสำคัญที่จะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ มาตรการภาษีเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะมีส่วนเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นทั้งในและต่างประเทศ การระดมความเห็นในวันนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมให้มีมาตรการทางภาษีที่เหมาะสม

คุณกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ หนึ่งในคณะทำงานด้านภาษีเพื่อพัฒนาตลาดทุน คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า มาตรการด้านภาษี เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยส่งเสริมเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย โดยมาตรการที่จะมีการดำเนินการ ได้แก่ การออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการพิจารณาอุปสรรคทั้งด้านภาษีและด้านกฎหมายของการควบรวมกิจการในประเทศไทย

จากสถิติการเสียภาษีของบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2549 พบว่าบริษัทจดทะเบียนเสียภาษีประมาณร้อยละ 35 ของภาษีที่ภาครัฐได้รับจากรายได้ของนิติบุคคลทั้งหมด หรือประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ของภาษีนิติบุคคลทั้งหมด ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 29 ในปี 2548 โดยหากเทียบสัดส่วนจำนวนบริษัทจดทะเบียน กับนิติบุคคลทั้งระบบแล้ว บริษัทจดทะเบียนประมาณ 500 กว่าแห่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.1 ของนิติบุคคลทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้น ถึงแม้จะมีการมาตรการส่วนลดภาษีนิติบุคคล เพื่อจูงใจให้มีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2544 ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนก็ยังเป็นกลุ่มผู้เสียภาษีที่ส่งรายได้หลักจากภาษีนิติบุคคลให้แก่ภาครัฐ

“การมีมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น จะเป็นการดึงบริษัทเข้าสู่การมีระบบบัญชีที่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ภาครัฐมีรายได้จากภาษีเพิ่มมากขึ้น และสามารถนำไปพัฒนาทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมได้ การมีมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการเข้าจดทะเบียน จึงเป็นมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ” นายกิติพงศ์กล่าว

นายนรรัตน์ ลิ่มนรรัตน์ ที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การสัมมนาในวันนี้จะมีการระดมความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อพิจารณาหามาตรการทางภาษีที่เหมาะสมใน 6 ประเด็น ได้แก่ 1.)การพิจารณาโครงสร้างและมาตรการทางภาษีของบริษัทจดทะเบียนเป็นการถาวรโดยมีอัตราภาษีที่ต่างจากบริษัททั่วไป 2.)สิทธิประโยชน์ของบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน 3.)สิทธิประโยชน์ของบริษัทกรณีมีการควบรวมกิจการและการปรับโครงสร้าง 4.)สิทธิประโยชน์อื่นๆ เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน 5.)การลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น การลงทุนผ่าน Holding Company และ6.)การหักค่าใช้จ่ายของบริษัทจดทะเบียน

ทั้งนี้ จะได้มีการรวบรวมความเห็นทั้งหมดจากการสัมมนาเสนอต่อคณะทำงานด้านภาษีเพื่อพัฒนาตลาดทุน เพื่อพิจารณากลั่นกรองและนำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยพิจารณาในรายละเอียดต่อไป