สถานการณ์เดือนกรกฎาคม 2551 มีจำนวนโครงการเกิดใหม่ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 6 โครงการโดยในเดือนนี้มีโครงการเปิดใหม่เพียง 21 โครงการ และส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการประเภทที่อยู่อาศัยทั้งหมด
ประเภท บ้านเดี่ยว
จำนวนหน่วยขาย 1,161
% หน่วยขาย 30.4%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 4,256
% มูลค่าโครงการ 41.9%
ประเภท บ้านแฝด
จำนวนหน่วยขาย450
% หน่วยขาย 11.8%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 1,143
% มูลค่าโครงการ 11.3%
ประเภท ทาวน์เฮ้าส์
จำนวนหน่วยขาย1,076
% หน่วยขาย 28.2%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 1,388
% มูลค่าโครงการ 13.7%
ประเภท อาคารพาณิชย์
จำนวนหน่วยขาย 100
% หน่วยขาย 2.6%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 239
% มูลค่าโครงการ 2.4%
ประเภท อาคารชุด
จำนวนหน่วยขาย 1,033
% หน่วยขาย 27.0%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 3,122
% มูลค่าโครงการ 30.8%
ประเภท ที่ดินจัดสรร
จำนวนหน่วยขาย 0
% หน่วยขาย 0.0%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 0
% มูลค่าโครงการ 0.0%
ประเภท RE (อื่น ๆ)
จำนวนหน่วยขาย 0
% หน่วยขาย 0.0%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 0
% มูลค่าโครงการ 0.0%
รวม
จำนวนหน่วยขาย 3,820
% หน่วยขาย 100%
มูลค่าโครงการ (ลบ.) 10,148
% มูลค่าโครงการ 100%
จากตารางที่ 1 โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ 21 โครงการในเดือนนี้ มีจำนวนหน่วยรวมกันทั้งสิ้น 3,820 หน่วย มีมูลค่าโครงการรวม 10,148 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนกว่าครึ่ง โดยมีการลดลงหลักๆ คือบ้านเดี่ยวเดือนนี้มี 1,161 หน่วย ลดลง 261 หน่วยจากเดือนก่อนนี้ ทาวน์เฮ้าส์ 1,076 หน่วย ลดลง 345 หน่วย และที่ลดลงมากที่สุดคือ อาคารชุดซึ่งเดือนนี้เปิดตัว 1,033 หน่วย ลดลงไป 2,143 หน่วย
จากการติดตามสำรวจลงถึงภาคสนามอย่างต่อเนื่องของ Agency for Real Estate พบว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนๆ ที่ผ่านมาของปีนี้ ยกเว้นเดือนเมษายน การพัฒนาอาคารชุดจะมากเป็นอันดับ 1 มาโดยตลอด แต่ปรากฎว่าในเดือนนี้บ้านเดี่ยวกลับมีการพัฒนาแซงหน้าอาคารชุด ซึ่งแสดงว่าที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดได้เริ่มมีการชะลอการเปิดตัวลง อาจเนื่องจากยังมีอุปทานคงเหลืออยู่ในตลาดค่อนข้างมาก และอีกส่วนหนึ่งอาจเนื่องมากจากปัญหาต้นทุนวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นปัญหาโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กๆ อาจจะไม่สามารถพัฒนาภายใต้ต้นทุนที่สูงขึ้นได้ และผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์เป็นส่วนใหญ่
อีกประเด็นที่น่าจับตามองคือการพัฒนาของอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ก็มีปริมาณลดลงด้วย ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นลดลง หรือเป็นเพียงการชะลอการพัฒนาโครงการนั้น คงจะต้องให้ติดตามกันต่อไปอย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงมูลค่าโครงการโดยรวมจะสูงต่ำกว่าเดือนที่ผ่านมาถึง 50% และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำกว่าด้วย เนื่องจากการพัฒนาในเดือนนี้จะเน้นพัฒนาระดับราคาเกิน 3 ล้านบาทเป็นหลัก แต่มีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ (2.657 ล้านบาทต่อหน่วย) ซึ่งเดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 3.414 ล้านบาทต่อหน่วย
และในด้านทำเลที่ตั้ง มีจำนวนเพียง 3 โครงการที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพชั้นใน 14 โครงการ ที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นกลางและส่วนต่อขยายของเมือง (intermediate area) เช่น บริเวณถนนลำลูกกา, ถนนสรงประภา, ถนนแจ้งวัฒนะ, ถนนรามคำแหง, ถนนวงแหวนตะวันออก, ถนนเทพารักษ์, ถนนสุขุมวิทสายเก่า และถนนพระราม 2 เป็นต้น และอีก 4 โครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รอบนอก เช่นถนนบางกรวย-ไทรน้อย, ถนนรังสิต-คลองหลวง และถนนพหลโยธิน-นวนคร ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ซอย และใกล้แหล่งงาน เช่นตลาดไท หรือนิคมอุตสาหกรรมนวนคร เป็นต้น