เมืองไทยประกันชีวิตฟันธงความมั่นคงไม่รับผลกระทบกลุ่มโฟร์ทิส

เมืองไทยประกันชีวิต บริษัทของคนหัวคิดทันสมัยประกาศตอกย้ำความแข็งแกร่ง ดำรงสินทรัพย์กว่า 50,000 ล้านบาท พร้อมเงินสำรองกว่า 40,000 ล้านบาท ย้ำไม่มีผลกระทบจากธุรกิจของกลุ่มโฟร์ทิสแต่อย่างใด

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักบรรษัทภิบาล ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส โดยบริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นหลักได้แก่ กลุ่มล่ำซำที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารสถาบันการเงินมาโดยตลอดด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเสมอมา โดยบริษัทฯ ได้รับความร่วมมือทางธุรกิจจาก โฟร์ทิส อินชัวร์รัน อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นวี ที่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นในอัตรา 24.99 % โดยให้ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์การประกันชีวิตและการบริการ ตลอดจนความรู้และเทคนิคต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถนำมาพัฒนาและปรับใช้ในบริษัทฯเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้จากสถานการณ์กรณีรัฐบาลของเนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และเบลเยี่ยม ได้เข้าถือหุ้นในธุรกิจธนาคารของกลุ่มโฟร์ทิสในแต่ละประเทศนั้น บริษัทฯ ขอยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากกรณีดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มโฟร์ทิสที่ถือหุ้นในเมืองไทยประกันชีวิตคือบริษัทในธุรกิจประกันภัย ซึ่งกลุ่มโฟร์ทิส ได้มีการแยกการดำเนินงานอย่างชัดเจนระหว่างธุรกิจธนาคาร (Fortis Bank SA/NV) และธุรกิจประกันภัย (Fortis Insurance NV)

สำหรับ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ถือเป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำของประเทศไทย ที่มีอัตราการขยายตัวในด้านการตลาดและการดำเนินธุรกิจในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนที่เป็นลูกค้าของบริษัทกว่า 1,000,000 ราย โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 11,195 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8 โดยเป็นเบี้ยประกันรับปีแรก 4,408 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 จากปีที่ผ่านมา และเบี้ยประกันรับปีต่อไป 6,787 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.9

ในด้านความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 54,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2550 ร้อยละ 15 มีเงินสำรองประกันภัย 45,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2550 ร้อยละ 16 และมีเงินกองทุน 6,833 ล้านบาท สูงเป็น 7.46 เท่าตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนด และเทียบเท่ากับ 234% ของมาตรฐานการดำรงเงินกองทุนในการดำเนินงานธุรกิจประกันชีวิตของสหภาพยุโรปหรือ EU Standard

สำหรับสินทรัพย์ลงทุน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 บริษัทฯ มีสินทรัพย์ลงทุนถึง 50,364 ล้านบาท โดยในสินทรัพย์ลงทุนบริษัทฯ ได้นำไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงสูงคิดเป็นร้อยละ 84.32 ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ คิดเป็นร้อยละ 58.67 รวมถึงหุ้นกู้ที่มีเรตติ้งในระดับตั้งแต่ A_ ขึ้นไปร้อยละ 25.66 การลงทุนในตราสารทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดีประมาณร้อยละ 8.12 เงินให้กู้ยืมซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ตามกรมธรรม์และเงินกู้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประมาณร้อยละ 7.56 และไม่มีการลงทุนตรงในต่างประเทศและในกลุ่มธุรกิจโฟร์ทิสแต่อย่างใด

ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางธุรกิจจากสถาบัน Standard & Poor’s ในระดับ BBB+/Stable และระดับความหน้าเชื่อถือของ Fitch Ratings ที่ BBB+/Positive สำหรับ IFS (insurer financial strength rating) และ AA/Positive สำหรับ IFS ภายในประเทศโดยมีแนวโน้มความแข็งแกร่งทางการเงินเป็นบวก จึงถือเป็นการยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในอีกระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลภายในประเทศซึ่งจะเป็นเครื่องยืนยันถึงการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยรางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่นอันดับที่ 3 ประจำปี 2546 อันดับที่ 2 ประจำปี 2547 และประจำปี 2548 อันดับที่ 1 ประจำปี 2549 จากกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น (ปัจจุบันคือ คปภ.)

“เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพทั้งทางด้านการดำเนินงาน และการบริการเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนมาโดยตลอด ขอให้ประชาชนชาวไทยมั่นใจในความมั่นคงของบริษัทฯ เพื่อความอุ่นใจของประชาชนชาวไทยจะได้รับความคุ้มครองที่มั่นคงตลอดไป ให้สมกับคำขวัญของบริษัทฯ ที่ว่าบริษัทของคนหัวคิดทันสมัย”นายสาระกล่าวสรุป