ซาบีน่าประกาศงบการเงินไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปี 2552 เผยรายได้เข้าเป้ารับตลาดยุโรปเริ่มฟื้น หลังลูกค้ามั่นใจภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่คอลเลคชั่น “ซอฟต์ ดูม” โดนใจลูกค้ากระแสตอบรับดี ส่งไม้ต่อไตรมาส 4 เติบโตต่อเนื่อง ด้านผู้บริหารมองแนวโน้มธุรกิจปีหน้าสดใสรับเศรษฐกิจฟื้น พร้อมเดินหน้าขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2552 (กรกฎาคม-กันยายน 2552) ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม421.65 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 26.25 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของ ปี 2552 (มกราคม-กันยายน 2552) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,179.76 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 38.4 ล้านบาท
สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของบริษัทฯ หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จะพบว่า เพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านบาท หรือ 333% จากไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 6.5 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากยอดขายในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในไตรมาส 3/2552 บริษัทฯ มียอดขาย ในต่างประเทศ 157.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ มียอดขาย 89.3 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขายในประเทศอยู่ที่ 264.38 ล้านบาท ซึ่งแม้จะลดลงจากไตรมาส 2/2552 เนื่องจากเป็นไปตามฤดูกาล แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ก็ปรากฏว่า มียอดขายเพิ่มขึ้น 12% จากการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ๆ เช่น “ซอฟต์ ดูม” ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ รวมถึง การทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง
“ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ยอดขายในยุโรปเริ่มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งคงมาจากการที่ลูกค้ามี ความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีลูกค้าใหม่ๆ ต้องการสั่งซื้อสินค้าจากเรา ขณะที่ลูกค้าเก่า ก็มีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจากเดิมเช่นกัน” นายบุญชัย กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า กล่าวต่อว่า จากความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของลูกค้า และการออกคอลเลคชั่นใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึง การขยายสาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 4/2552 เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2553 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า มองว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ โดยบริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจะเน้นสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัทฯเอง เพราะมีมาร์จิ้นที่สูงกว่า ซึ่งในขณะนี้ก็มี หลายประเทศในแถบอาเซียนสนใจจะเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ