เอ็มเอสดีประกาศควบรวมกิจการกับเชอริ่ง-พลาวในประเทศไทย

กรุงเทพฯ, 21 ธันวาคม 2552 – จากการควบรวมกิจการของบริษัท เมอร์ค แอนด์ โก อิงค์ และ เชอร์ริ่ง- พลาวในสหรัฐอเมริกา วันนี้ เอ็มเอสดี ประเทศไทย ประกาศควบรวมกิจการกับเชอรริ่ง-พลาวตามนโยบายบริษัทแม่ ส่งผลให้เอ็มเอสดีมีส่วนแบ่งตลาดเป็นลำดับสองในตลาดยาในประเทศไทย เช่นเดียวกับการก้าวขึ้นสู่บริษัทยาอันดับสองในระดับโลก

การควบรวมกิจการในครั้งนี้ทำให้บริษัทซึ่งใช้ชื่อ เอ็มเอสดี ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค และทุกประเทศนอกสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นผู้นำด้านสุขภาพและนวัตกรรมยาที่ช่วยชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง และมียาคุมกำเนิด ยารักษาโรคเรื้อรังและยารักษาโรคติดเชื้อเป็นสินค้าหลักของบริษัทฯ

จากการควบรวมกิจการของบริษัทแม่ด้วยมูลค่า 4.11 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์รักษาโรคในสาขาหลักๆ แก่ผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น เช่น การรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ โรคติดเชื้อ โรคเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจ วัคซีน เวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพสตรี ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผู้บริโภคทั่วไป (Consumer health products) และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังจะได้รับประโยชน์จากการรวมนวัตกรรมยาที่อยู่ในระหว่างการทดลองในขั้นสุดท้ายอีกประมาณ 15 รายการ เช่น ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ยาต้านไวรัสตับอักเสบซี ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรครูมาตอยด์ ยาในโรคระบบทางเดินหายใจ และยารักษาโรคหัวใจและ หลอดเลือดหัวใจ

มร.จอร์แดน เทอ กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็มเอสดี ประเทศไทยและเวียตนาม กล่าวว่า “การผสานศักยภาพอันแข็งแกร่งด้านการค้นคว้าวิจัยด้านเวชภัณฑ์และการพัฒนานวัตกรรมยา จะทำให้เรามีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมและหลากหลายมากยิ่งขึ้น เราได้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีรายได้เป็นอันดับสอง ในตลาดโลก และในประเทศไทย โดยมีผลิตภัณฑ์ยากว่า 70 ชนิด และวัคซีนที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างแท้จริง”

ทั้งนี้ในส่วนสาขาโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ และยาเกี่ยวกับคอเรสเตอรอลนั้น คาดว่านวัตกรรม ของทั้งสองบริษัทจะช่วยสร้างทางเลือกในการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยยา Thrombin Receptor Antagonist ของเชอริ่ง-พลาว จะเป็นประโยชน์ต่อเอ็มเอสดีในการพัฒนายารักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่อยู่ในระยะทดลองขั้นสุดท้าย
ส่วนในสาขาโรคระบบทางเดินหายใจนั้น การควบรวมกิจการก็จะช่วยให้บริษัทฯ มียาสำหรับระบบ ทางเดินหายใจจำนวนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงยาด้านการรักษาโรคหอบหืดและภูมิแพ้อีกด้วย

สำหรับการรักษาโรคในสาขาอื่นๆ ที่ผู้ป่วยจะได้รับประโยชน์นั้น ได้แก่ โรคติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบซี รวมถึงเวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพสตรี เช่น วัคซีนเอชพีวี ตลอดจนผลิตภัณฑ์ด้านการคุมกำเนิด และยารักษาโรคกระดูกพรุน

การควบรวมกิจการ จะทำให้เอ็มเอสดีสามารถขยายขอบเขตการสร้างนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ชึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยและพัฒนาของบริษัทฯ การค้นคว้าวิจัยและพัฒนายายังจะได้รับประโยชน์จากความแข็งแกร่งด้านการเงินที่เกิดจากควบรวมกิจการอีกด้วย ปัจจุบันเอ็มเอสดีมีการทดลองทางคลินิก ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานอยู่อีก 17 รายการในประเทศไทย

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคงสนับสนุนโครงการ CSR ต่างๆ เพื่อตอบแทนสู่สังคมและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมและประชาชน “ เอ็ม เอส ดี ตระหนักถึงความสำคัญของ ความรับผิดชอบต่อสังคม และบรรษัทภิบาล แม้ในสภาวะที่เรากำลังเผชิญกับเศรษฐกิจถดถอยอยู่ในขนะนี้ และในฐานะ ที่เราดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม และบรรษัทภิบาลเพื่อพัฒนาและสร้างคุณค่าคืนสู่สังคมอย่างยั่งยืน บริษัทฯ มีโครงการ CSR ที่ชื่อ MSD IN-STEP ชึ่งเป็นโครงการพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์ ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2549 ในจังหวัดพังงา จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิ โดยโครงการ MSD IN-STEP มุ่งเน้นการเรียน การสอนแบบ inquiry-based learning หรือ การสืบเสาะหาความรู้ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนอย่างแข็งแกร่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยอีกด้วย” มร.จอร์แดน กล่าวเสริม