เอสซีฯ ตั้งเป้ารายได้หมื่นล้านภายใน 3 ปี

เอสซี แอสเสทฯ ปลื้มผลการดำเนินงานปี 52 ยอดขายโตเกินเป้า ปี 53 รุกพัฒนา 12 โปรเจ็คใหม่ทั้งไฮไรส์-โลว์ไรส์ มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท เตรียมเจาะตลาดบ้านไฮเอนด์ คฤหาสน์หรูระดับพรีเมี่ยม ราคา 40-60 ล้านบาท ย่านปิ่นเกล้า พร้อมโชว์บ้านซีรี่ส์ใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “More Function + 1” สร้างจุดขายที่แตกต่าง ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% มั่นใจภายใน 3 ปี รายได้แตะหมื่นล้านบาท

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2552 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้สูงสุดมูลค่ารวม 4,430 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปี 2551 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แม้จะมีผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งภายในและนอกประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการ โดยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงถึง 20% ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญของแบรนด์และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากขึ้น ส่งผลให้เอสซี แอสเสทฯ สามารถขยายฐานลูกค้า ทำยอดขายและรายได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากการที่ธุรกิจของบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ ประกอบกับเศรษฐกิจโดยรวมที่มีทิศทางที่ดีขึ้น คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถทำรายได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท ได้ภายใน 3 ปี

สำหรับในปี 2553 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 25% โดยนโยบายยังมุ่งเน้นการทำ Integrated Branding กับ CEM (Customer Experience Management) จะมีการทำ CRM ในเชิงรุกและครบวงจรควบคู่กันไป เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้สัมผัสมากขึ้น ผ่านการสร้าง Brand Associations เพื่อเชื่อมโยงและพัฒนาความสัมพันธ์ของแบรนด์ให้ผู้บริโภคได้รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆรวมทั้งรับรู้คุณลักษณะที่ จับต้องได้ในแต่ละโปรดักส์ของเอสซี แอสเสทฯ ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสินค้าในแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของแต่ละแบรนด์ โดยการพัฒนาโปรดักส์ยังคงนำแนวคิด 5 selling points มาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ จะพัฒนารูปแบบบ้านภายใต้แนวคิด “New Series Home 2010” เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าและความต้องการของตลาด โดยในส่วนบ้านเดี่ยวยังคงเป็นสไตล์ Modern Resort และ Modern Classic ที่ยังคงเอกลักษณ์ของเอสซีฯ ในเส้นแนวตั้งและแนวนอน พร้อมให้ความสำคัญกับเรื่อง Practical design โดยชูคอนเซปต์ More Function +1 เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์ใช้สอยพื้นที่คุ้มค่าเพิ่มมากขึ้น

แผนพัฒนาโครงการในปี 2553 บริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการใหม่จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 11,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งโครงการประเภทแนวราบและแนวสูง แบ่งเป็นโครงการแนวราบ จำนวน 8 โครงการ มูลค่ากว่า 7,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา-รามอินทรา 2, โครงการไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา 23, โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สาทร-ราชพฤกษ์, โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด วิภาวดี, โครงการเวิร์คเพลส เพชรเกษม 81, โครงการบ้านเดี่ยว ย่านวงแหวน-อ่อนนุช, ย่านจรัญสนิทวงศ์ พร้อมพัฒนาโครงการคฤหาสน์หรูระดับไฮเอนด์ ย่านปิ่นเกล้า นับเป็นโครงการแรกของบริษัทที่จับตลาดบ้านระดับพรีเมี่ยม ราคาเริ่มต้น 40 -60 ล้านบาท ส่วนโครงการแนวสูง พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งแบบโลว์ ไรส์ และไฮไรส์ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า BTS และ MRT เป็นหลัก จำนวน 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,600 ล้านบาท

ในช่วงครึ่งปีแรก มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ“บางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา-รามอินทรา 2” บ้านเดี่ยวระดับหรู มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท บนพื้นที่ 24-3-16 ไร่ ระดับราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาท 2.โครงการโฮม ออฟฟิศ “เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81” มูลค่า 100 ล้านบาท บนพื้นที่ 2-3-21.5 ไร่ ระดับราคาเริ่มต้น 5.5 ล้านบาท ทั้งนี้จะทยอยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตามแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้

ส่วนโครงการต่อเนื่องที่กำลังเปิดขายอยู่ในปัจจุบัน จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการคงเหลือกว่า 2,200 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแนวสูง จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการเซ็นทริค ซีน รัชวิภา และ โครงการแนวราบ จำนวน 9 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา-รามอินทรา,โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด เกษตร-นวมินทร์,โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์-พระราม 5,โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด สาทร-ปิ่นเกล้า และโครงการไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด รัชวิภา ส่วนโครงการทาวน์โฮม และ โฮม ออฟฟิศ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการวิสต้า ปาร์ค แจ้งวัฒนะ, โครงการวิสต้า ปาร์ค รัชดา-รามอินทรา, โครงการวิสต้า อเวนิว เพชรเกษม 81 และ โครงการเวิร์คเพลส รัชดา-รามอินทรา

สำหรับแผนการซื้อที่ดินสะสม (Land Bank) เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต บริษัทฯตั้งงบประมาณจำนวน 2,000 – 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในปีต่อ ๆ ไป โดยเน้นที่ดินในกรุงเทพฯและปริมณฑลในทำเลที่มีศักยภาพ การคมนาคมสะดวก ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาได้ใช้งบประมาณในการซื้อที่ดินรวม 8 แปลง มูลค่ารวมประมาณ 1,700 ล้านบาท เพื่อใช้พัฒนาในปี 2553-2554