แสนสิริเผยแผนปี 53’ รุกต่อเนื่องด้วย 70 โปรเจกต์ครบวงจร

กลุ่มบริษัทแสนสิริเผยแผนการดำเนินธุรกิจปี 2553 สานต่อกลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจต่อเนื่อง พร้อมเตรียมขยายโปรเจกต์ใหม่ครบวงจรครอบคลุมทุกเซกเมนต์อีก 20 โครงการ มูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท รวมแผนปี 2553 มีโปรเจกรองรับการขยายธุรกิจรวมถึง 70 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายปีขาล 20,000 ล้านบาท ในขณะที่ตุนยอดขายล่วงหน้า (Pre-sale Back Log) สูงสุดในระบบ 16,500 ล้านบาท รองรับรายได้ช่วง 1-3 ปี เล็งเปิดขายคอนโดฯ ย่านใจกลางธุรกิจและแนวเส้นทางส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าถึง 8 โครงการ โดยไตรมาสแรกจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมรองรับความต้องการระดับกลางถึงระดับพรีเมี่ยม มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ระบุหากภาคการลงทุนกระเตื้องและตลาดหลักทรัพย์เข้าสู่สภาวะปกติเตรียมดำเนินการเพิ่มทุนทันที

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจในปี 2552 นั้น กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือ ได้มีการขยายการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดยมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 60 โครงการ ซึ่งแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 3,420 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเกือบ 16,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายที่สูงในอันดับต้นๆ ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

“ ปี 2552 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทแสนสิริประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจากการร่วมมือด้านการตลาดกับพันธมิตรธุรกิจ อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น เพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ สำหรับปี 2553 แสนสิริจะพัฒนาและสานต่อแนวคิดการจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนพัฒนาแนวคิด Innovative living เพื่อสร้างสรรค์รูปแบบสินค้าใหม่ ๆ สู่ตลาดที่อยู่อาศัย รวมทั้งเน้นขยายบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่สินค้าไปจนถึงบริการหลังเข้าอยู่อาศัย เพื่อกระจายเทคโนโลยีทันสมัยสู่ที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ของกลุ่มแสนสิริรอบกรุงเทพฯ” นายเศรษฐา กล่าว

นอกจากนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริจะยังคงใช้กลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจร โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อย่างน้อย 20 โครงการ ในทำเลที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัย มูลค่าโครงการขายประมาณ 27,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ต่อเนื่องจากปีก่อน กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือจะมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการขายในปี 2553 อย่างน้อยถึง 70 โครงการ ส่วนประมาณการยอดขายรวมสำหรับปี 2553 ไว้ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท
ในปี 2552 กลุ่มบริษัทแสนสิริรุกสู่ความเป็นผู้นำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยอย่างชัดเจน ด้วยการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกประเภทและทุกระดับราคา รวมทั้งการวางแผนการดำเนินงาน โดยแสนสิริพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงระดับพรีเมี่ยม ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านจัดสรร และโครงการทาวน์เฮาส์ และให้บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท พิวรรธนา จำกัด ดำเนินการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ระดับราคา 2 – 5 ล้านบาท ได้แก่ โครงการฮาบิเทีย ราชพฤกษ์, โครงการฮาบิเทีย บางใหญ่, โครงการฮาบิเทีย ปัญญาอินทรา และโครงการฮาบิเทีย วงแหวน – รามอินทรา

นอกจากนี้ยังมี บริษัทพร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับราคา 1.99 – 3 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านพร้อมพัฒน์ รามอินทรา โครงการบ้านพร้อมพัฒน์ กรีนโนวา รามอินทรา และโครงการบ้านพร้อมพัฒน์ พระราม 9 – วงแหวน รวมถึงบริษัท เรดโลตัส จำกัด ที่พัฒนาโครงการที่พักอาศัยตากอากาศทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในพื้นที่ตากอากาศในอำเภอหัวหิน เป็นต้น ซึ่งทุกโครงการล้วนประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ในขณะที่บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจซื้อ ขาย ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ และทัช พร็อพเพอร์ตี้ ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

“สำหรับแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ที่กลุ่มบริษัทแสนสิริจะมีการทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2553 ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 12,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 8 โครงการ มูลค่าโครงการ ประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะพัฒนาใหม่ทั้งสิ้นเกือบ 27,000 ล้านบาท ทั้งนี้ แผนธุรกิจในปี 2553 สิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจน คือ การเสริมความแข็งแกร่งในการขยายตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อให้กลุ่มบริษัทแสนสิริเป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจรที่สุด โดยในช่วงไตรมาสแรก บริษัทฯ จะเปิดการขายโครงการการคอนโดมิเนียมรองรับความต้องการระดับกลางถึงระดับพรีเมี่ยม ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในชีวิตเมือง 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวเสริมว่า ขณะนี้สภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในส่วนของการเพิ่มทุน บริษัทคาดว่าจะดำเนินการทันทีที่บรรยากาศการลงทุนกระเตื้องขึ้นจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและตลาดหลักทรัพย์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ สำหรับมาตรการลดหย่อนภาษีภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเป็นอย่างดี สำหรับแนวโน้มจะมีการขยายต่อเวลาไปอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของภาครัฐต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทแสนสิริมียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1 – 3 ปี ประมาณ 16,500 ล้านบาท ที่เป็นยอดขายล่วงหน้าที่สูงที่สุดในระบบในขณะนี้ นับเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี แม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม