“ศุภาลัย” ได้รับการปรับอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้ง เป็น “A-”

บมจ.ศุภาลัย ได้รับการปรับอันดับเครดิตองค์กรจาก ทริสเรทติ้ง เป็น “A-” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จากเดิมที่ระดับ “BBB+ / Stable” สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มในการสร้างรายได้และกำไรของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) “SPALI” เปิดเผยว่า “ทริสเรทติ้งได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A-” จากเดิมที่ระดับ “BBB+” และเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันของบริษัทเป็นระดับ “A” จากเดิมที่ระดับ “A-” โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัทฯ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงผลงานที่ยาวนานในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย แบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดระดับกลาง และความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ยอดขายของบริษัทฯในปี 2552 เท่ากับ 13,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จาก 9,091 ล้านบาท ในปี 2551 ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 5,490 ล้านบาท จาก 1,979 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2552 ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปิดขายโครงการใหม่ในช่วงปี 2552 จนถึง 3 เดือนแรกของปี 2553 รายได้ของบริษัทก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับยอดขาย โดยในปี 2552 รายได้เพิ่มขึ้นถึง 56% เป็น 9,618 ล้านบาท จาก 6,170 ล้านบาทในปี 2551 ในไตรมาสแรกของปี 2553 รายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มมากถึง 52% เป็น 3,162 ล้านบาท

นอกไปจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงแข็งแกร่งกว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยความสามารถในการทำกำไรที่สูงของบริษัท เป็นผลมาจากการบริหารต้นทุนการดำเนินงานที่ดี นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น 30.10% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 และ 21.59% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 โดยลดลงจาก 48.50% ณ สิ้นปี 2551

ศุภาลัย ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรมาตั้งแต่ปี 2547 โดยได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ BBB และได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมาอย่างต่อเนื่องเป็นระดับ A- ในปีนี้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดที่อยู่อาศัยจะผันผวนเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่บริษัทก็ได้มีการปรับแผนธุรกิจและกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้มีผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง