บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้ม “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10%” ผลงานเข้าเป้า รับอานิสงส์หุ้นขาขึ้น ดันผลตอบแทนถึงเป้าหมาย 10% ในเวลาเพียงแค่ 4 เดือนครึ่ง เผยรับซื้อคืนอัตโนมัติเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2553 ที่มูลค่าหน่วยลงทุน 11.2699 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 12.70% (ช่วง 2 เมษายน 2553 – 17 สิงหาคม 2553) โดยดัชนีเปรียบเทียบ (SET Index) เท่ากับ 8.07% ซึ่งถือเป็นผลความสำเร็จของการบริหารแบบ Active Management ผสมผสานกับเทคนิคด้านจับจังหวะ การลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ยอมรับรอจังหวะหุ้นไทยปรับฐานรอบใหม่ จึงพิจารณาออกกองทุนทริกเกอร์ 10%
กอง 2
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.ไอเอ็นจี ได้เสนอขายกองทุนใหม่ ได้แก่ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10%” ซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี และมีแนวโน้มการเติบโต สูง และเน้นการใช้เทคนิคเรื่องการเข้า-ออกตลาดในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย คือ มูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 10 บาท ไปอยู่ที่ 11.20 บาทต่อหน่วย ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันทำการ กองทุนก็จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมด พร้อมเลิกกองทุน
ล่าสุด บลจ.ไอเอ็นจี ได้แจ้งให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทราบว่า บริษัทได้ดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจากผู้ถือหน่วยทุกราย ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 5,6,9,10 และ 11 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10%” มีมูลค่าหน่วยลงทุนสูงกว่า 11.20 บาทต่อหน่วย ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันทำการ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในวันที่ 17 สิงหาคม 2553 นั้น มูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 11.2699 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 12.70% ในระยะเวลา 4 เดือนครึ่ง นับตั้งแต่วันที่เริ่มลงทุนเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 ซึ่งสูงกว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เพิ่มขึ้น 8.07% ในระยะเวลาเดียวกัน
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลตอบแทนถึงเป้าหมายได้อยู่ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เข้าลงทุนนั้น พบว่าระดับดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับทั้งดัชนีหลักทรัพย์ในอดีต และเมื่อเทียบกับมูลค่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค โดย คาดว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี เรโช) ในปี 2553 จะอยู่ที่ 11.1 เท่า ต่ำกว่าพีอี เรโช ของตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) ในปีนี้ที่คาดว่า จะอยู่ที่ 13.3 เท่า และคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเติบโตได้ประมาณ 15% ในปี 2553 อีกทั้งจากการที่เห็นนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง และแม้ระดับราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ยังมีหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสเติบโตสูงจากผลดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ ด้วยการบริหารการลงทุนแบบ Active ซึ่งเป็นการบริหารจัดการด้วยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพในลักษณะการวิเคราะห์และคาดการณ์ภาวะตลาดในอนาคต รวมถึงการจับจังหวะการลงทุนที่ถูกต้องเหมาะสม ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์
“หลังจากกองทุนประสบความสำเร็จ โดยให้ผลตอบแทนกับผู้ถือหน่วยสูงถึง 12.70% ไปแล้ว ขณะนี้ก็มีเสียงเรียกร้องให้บริษัทออกและเสนอขายกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10% กองที่ 2 ซึ่งแม้ว่าเรามองว่าทิศทางของตลาดหุ้นยังมีสัญญาณที่ดีในระยะปานกลาง แต่ด้วยระดับดัชนี 880 – 890 จุดในขณะนี้ค่อนข้างลำบากในการที่จะสร้างผลตอบแทนให้ได้อีก 10% ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น จึงน่าจะรอจังหวะและโอกาสการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐาน หรือมีปัจจัยใหม่ๆ ที่ค่อนข้างชัดเจนที่จะสนับสนุนให้ตลาดไปต่อได้มากๆ ตอนนี้น่าจะเป็นจังหวะของการออกกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10% กองที่ 2” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าว
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต ของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต