เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความร่วมมือด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีนในเส้นทางหลัก 3 เส้นทาง คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง และเส้นทางกรุงเทพฯ-สุดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งจะเสนอร่างกรอบการเจรจาดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
มติครม.ดังกล่าวเป็นความคืบหน้าและอีกก้าวที่สำคัญของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค อย่างจีนตอนใต้ โดยเฉพาะการค้าชายแดนและผ่านแดนที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะได้รับปัจจัยหนุนจากทั้งการลดภาษีนำเข้าร้อยละ 0 จากการเปิดเสรีการค้าภายใต้กรอบอาเซียน และอาเซียน-จีน รวมทั้งการเปิดเสรีการค้าบริการอาเซียนสาขาโลจิสติกส์ที่มีเป้าหมายในการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบในปี 2556 ประกอบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่มีมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสของไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะผ่านเข้ามาด้วยเส้นทางทางบกได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากโครงการดังกล่าวบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมจะเป็นการยกระดับบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และประตูเศรษฐกิจหลักของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และจีน
แนวคิดรถไฟความเร็วสูงมีความคืบหน้า … แต่ต้องติดตามความชัดเจนอีกหลายประเด็น
ประเทศไทยและจีนมีความร่วมมือกันที่จะพัฒนากิจการรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีน ตามกรอบการเจรจาที่ครม.เห็นชอบจะเป็นความร่วมมือในการพัฒนากิจการรถไฟในเส้นทางหลัก 3 เส้นทาง คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย (ระยะทางประมาณ 615 กิโลเมตร) เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง (ระยะทาง 250 กิโลเมตร) และเส้นทางกรุงเทพฯ-สุดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (ยังไม่ได้ระบุจุดหมาย ระยะทางประมาณ 985 กิโลเมตร) ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวคาดว่าจะป็นการพัฒนาระบบรางขนาดมาตรฐาน (Standard Gauge: 1.435 เมตร) จากที่ปัจจุบันไทยใช้ระบบรางขนาด 1 เมตร (Meter Gauge) ซึ่งมีข้อจำกัดด้านน้ำหนักการขนส่งและความเร็วของรถไฟ
โดยความร่วมมือเพื่อพัฒนากิจการรถไฟไทยบางเส้นทางเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรางรถไฟขนาดมาตรฐานของจีนจากคุนหมิง (มณฑลหยุนหนาน ทางตะวันตกของจีน)-นครเวียงจันทน์ (ลาว)-หนองคาย-กรุงเทพฯ-สุดชายแดนภาคใต้ของไทย-มาเลเซีย ซึ่งความเป็นไปได้ของไทยน่าจะมีความพร้อมในเส้นทางรถไฟเส้นทางหนองคาย-กรุงเทพฯ ก่อน ซึ่งในเบื้องต้นอาจใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 1.7 แสนล้านบาท (280 ล้านบาทต่อกิโลเมตร) มีความเร็วไม่น้อยกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอาจใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อน ซึ่งจะถือได้ว่าเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูง
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือดังกล่าวยังคงต้องติดตามความชัดเจนในรายละเอียดของโครงการ เช่น รูปแบบรางซึ่งอาจเป็นแบบ Single Track หรือ Double Track หรือแบบผสม ซึ่งจะมีผลต่อความเร็วของรถไฟ และการบริการจัดการ รวมทั้งงบประมาณในการก่อสร้าง ลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างไทยกับจีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.การเข้าร่วมงานของภาครัฐและเอกชน พ.ศ. 2535 และพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เป็นต้น แหล่งเงินทุน ซึ่งอาจกระทบต่อระดับหนี้สาธารณะ และข้อจำกัดในการก่อหนี้ของรัฐในอนาคต รวมทั้ง ประเด็นการแปลงสินทรัพย์ เช่น ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นมูลค่าการถือหุ้น ข้อกำหนดอื่นๆ เช่น การใช้วัสดุก่อสร้าง แรงงาน ผู้เชี่ยวชาญ การแบ่งรายได้ การบริหารงาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นต้น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค…สนับสนุนความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอาเซียน-จีน
สำหรับโครงการพัฒนากิจการรถไฟเส้นทางหนองคาย-กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเส้นทางในส่วนของไทยที่น่าจะก่อสร้างได้ก่อนช่วงอื่น โดยจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 4 ปี ซึ่งในระยะสั้นจะทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนสู่ระบบเศรษฐกิจและขยายการจ้างงานในประเทศ
ส่วนผลในระยะปานกลางและยาว หากโครงการแล้วเสร็จคาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ในประเทศ ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนของการขนส่งระบบการรางที่สามารถขนสินค้าและผู้โดยสารได้ในจำนวนที่มาก รวดเร็วขึ้นกว่าการขนส่งด้วยระบบรางที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ใช้รางขนาด 1 เมตร และยังมีต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยที่ถูกกว่าการขนส่งในบางรูปแบบ โครงการดังกล่าวจะเพิ่มทางเลือกของรูปแบบการขนส่งให้มากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะสินค้าและจุดหมายปลายทาง อีกทั้งยังจะสนับสนุนและเชื่อมโยงกับการขนส่งรูปแบบอื่นอีกด้วย นอกจากนี้ จะช่วยเชื่อมโยงระบบการขนส่งและเศรษฐกิจภายในอาเซียนและภูมิภาค โดยเฉพาะกับจีนให้มีมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการค้าและเศรษฐกิจภายในภูมิภาคนี้ให้ขยายตัวได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ รถไฟความเร็วสูงเส้นทางหนองคาย-กรุงเทพฯ เป็นส่วนที่เชื่อมจากเส้นทางจากนครคุนหมิงในมณฑลหยุนหนานของจีน ผ่านหลวงพระบางและนครเวียงจันทน์ในลาว มุ่งสู่ประเทศไทยโดยข้ามผ่านสะพานแม่น้ำโขงแห่งแรกของไทยที่จ.หนองคาย และสู่กรุงเทพฯ ซึ่งเส้นทางนี้จะเป็นการเปิดทางออกสู่ทะเลของมณฑลด้านตะวันตกของจีนอย่างมณฑลหยุนหนาน และมณฑลเสฉวนที่ไม่มีทางออกทางทะเล ให้สามารถขนส่งสินค้าไปยังท่าแหลมฉบังได้ ซึ่งจะรวดเร็วกว่าการขนส่งไปยังท่าเรือที่ฮ่องกง นอกจากนี้ การเชื่อมโยงกับมณฑลหยุนหนาน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต อีกทั้งรัฐบาลจีนมีนโยบายที่จะพัฒนาพื้นที่ด้านตะวันตกของประเทศด้วยนโยบาย Go West Policy โดยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน เส้นทางรถไฟ สนามบิน และศูนย์กระจายสินค้า จึงเป็นโอกาสที่จะทำให้ไทยสามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่นๆ ของจีนด้วยโครงข่ายการคมนาคมขนส่งของจีน ทั้งนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะขยายตลาดในภาคตะวันตกของจีน ซึ่งผู้บริโภคในมณฑลหยุนหนานเองก็ยังค่อนข้างคุ้นเคยกับสินค้าไทยอยู่แล้ว
ขณะที่เส้นทางที่ผ่านลาว ซึ่งเป็นประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาประเทศและมีการเข้าไปลงทุนของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่เข้าไปลงทุนด้านอุตสาหกรรม การเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร จึงน่าจะเป็นโอกาสของไทยที่ขยายตลาดในลาว ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคก็ใช้สินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยอยู่แล้วค่อนข้างมาก
ส่วนการเชื่อมเส้นทางจากกรุงเทพฯสู่ภาคใต้ของไทยไปยังมาเลเซีย และมีโอกาสเชื่อมโยงไปสู่สิงคโปร์ในอนาคต จะทำให้การขนส่งสินค้าจากภาคใต้ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ สู่จีนได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถขนส่งสินค้าที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ จากมาเลเซียมาที่กรุงเทพฯ เพื่อกระจายไปสู่ตลาดต่างๆ ได้สะดวกขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้าม ก็ต้องตระหนักถึงผลกระทบจากการเข้ามาของสินค้าจากประเทศที่มีเส้นทางการขนส่งเชื่อมโยงกับประเทศไทย ซึ่งก็จะสะดวกขึ้นเช่นกันหากโครงการพัฒนารถไฟดังกล่าวแล้วเสร็จ โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกจากจีน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเตรียมรับมือกับการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการต่างชาติในไทยที่อาจมีมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคยังมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอีกหลากหลายโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อันจะช่วยทั้งเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งในภูมิภาคและช่วยสนับสนุนการค้าในภูมิภาค
?ทั้งนี้ การขนส่งทางถนนตามเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor) ที่เชื่อมโยงแต่ละประเทศเข้าด้วยกันจะช่วยเสริมกันกับการขนส่งในระบบราง ซึ่งจะทำให้ระบบคมนาคมขนส่งทางบกที่เชื่อมโยงไทยกับประเทศในภูมิภาคมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเส้นทางถนนจะช่วยเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าและผู้โดยสารจากแต่ละพื้นที่เข้าสู่การขนส่งในระบบราง ขณะเดียวกันก็จะช่วยกระจายสินค้าและผู้โดยสารไปยังพื้นที่อื่นๆ ซึ่งไม่มีระบบรางพาดผ่าน โดยเฉพาะเมื่อการขนส่งทางถนนเป็นรูปแบบการขนส่งที่สำคัญและมีเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ทั้งในประเทศไทยรวมทั้งหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งเส้นทางทางถนนที่สำคัญและมีบทบาทเชื่อมโยงในภูมิภาคนี้ อาทิ
เส้นทาง R3A จากกรุงเทพฯ ผ่านลาวไปยังนครคุนหมิงในมณฑลหยุนหนาน ?ซึ่งเป็นอีกเส้นทางที่เชื่อมโยงไทย ลาว และกับจีนตะวันตก โดยจะช่วยกระจายสินค้าและผู้โดยสารในภาคเหนือของไทยสู่มณฑลหยุนหนานได้เช่นกัน นอกจากนี้ เส้นทางนี้ยังมีความสำคัญกับจีนเนื่องจากมีศักยภาพที่จะออกสู่ทะเลได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไทยมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก (Deep Seaport) ทางฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งในอนาคตหากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2555) และโครงการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า (Intermodal Facilities) ที่เชียงแสนและเชียงของ จ.เชียงราย แล้วเสร็จก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าชายแดนให้เติบโตได้มากขึ้น
ส่วนเส้นทาง ?R8 (จากหนองคายหรือนครพนม ผ่าน R13) หรือ R12 (ผ่านนครพนม) ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งทางถนนที่?สามารถเชื่อมโยงกับการเส้นทางรถไฟหนองคาย-กรุงเทพฯได้ อีกทั้งยังมีเส้นทางที่ผ่านลาวไปยังเวียดนาม และไปถึงนครหนานหนิง ในมณฑลกวางสี ซึ่งเป็นมณฑลเดียวของจีนตอนในทางตะวันตกที่มีทางออกทะเล และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่สำคัญของจีนตอนใน อีกทั้งยังติดกับมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยและมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยเส้นทาง R12 มีการใช้สำหรับการขนส่งผลไม้สดจากไทยไปยังตลาดเจียงหนาน นครกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-3.5 วัน สั้นกว่าและสะดวกกว่าเส้นทางอื่น ซึ่งหากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 แล้วเสร็จ (คาดว่าจะเปิดใช้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554) น่าจะทำให้การขนส่งสินค้าตามเส้นทางนี้สะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในภูมิภาคที่อยู่ระหว่างดำเนินการและการศึกษาอีกหลายโครงการยังน่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เข้าด้วย เช่น การสร้างถนนจาก จ.กาญจนบุรีถึงชายแดนพม่าเพื่อเชื่อมต่อไปยังท่าเรือทวายในพม่า การสร้างเส้นทางรถไฟต่อจากท่านาแล้งถึงนครเวียงจันทน์ เป็นต้น
โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์จะช่วยขยายการค้าและการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาค
การพัฒนาการค้าภายในอนุภูมิภาค (Sub-Region) ทั้งการค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศใกล้เคียงก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 การค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ขยายตัวร้อยละ 34.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนทิศทางการค้าชายแดนและผ่านแดนที่น่าจะขยายตัวได้ดี แม้ว่าปัจจุบันยังมีข้อจำกัดและอุปสรรคที่ยังฉุดรั้งการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยอยู่ ทั้งนี้เนื่องจากรายละเอียดปลีกย่อยของกฎหมายและข้อปฏิบัติ รวมถึงสภาพแวดล้อมระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่ยังแตกต่างกัน รวมทั้งขาดความร่วมมือในระดับรัฐ และระดับปฏิบัติการ จึงยังทำให้การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนไม่สะดวกอย่างที่คาดหวังไว้ และอาจต้องใช้ระยะเวลาเพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของได้อย่างก้าวกระโดด
โดยปัจจัยที่สนับสนุนการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น รวมทั้ง การเปิดเสรีทางการค้าภายใต้กรอบอาเซียน และอาเซียน-จีน ซึ่งมีการลดภาษีการนำเข้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในอัตราร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ขณะที่การเปิดเสรีการค้าบริการสาขาโลจิสติกส์ซึ่งจะมีการทยอยเปิดมากขึ้นจะช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับการค้ามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี น่าจะเป็นแรงหนุนความต้องการสินค้าและบริการ รวมทั้งดึงดูดการลงทุนมาสู่ภูมิภาคนี้ได้มากขึ้น ซึ่งหลายประเทศได้เล็งเห็นและให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียน โดยพยายามเข้ามามีส่วนร่วมและลงทุนในภูมิภาคนี้มากขึ้น เช่น จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกจากผลในทางการค้าแล้ว ไทยยังมีโอกาสที่จะขยายตลาดการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียนและจีนได้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านที่รวมเวียดนามและจีนมีจำนวนประมาณ 3.7 ล้านคนต่อปี คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด โดยมาเลเซียเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังไทยมากที่สุดคือประมาณ 1.8 ล้านคนต่อปี ขณะที่จีนมีจำนวน 8 แสนคนต่อปี แต่คาดว่าภายใน 3-5 ปี นักท่องเที่ยวจากจีนน่าจะแซงหน้ามาเลเซียขึ้นมาเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทยได้ หากมียุทธศาสตร์รองรับที่ดี
โดยสรุป เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความร่วมมือด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีนในเส้นทางหลัก 3 เส้นทาง คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง และเส้นทางกรุงเทพฯ-สุดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเส้นทางรถไฟของจีนจากคุนหมิง (มณฑลหยุนหนาน ของจีน)-นครเวียงจันทน์(ลาว)-หนองคาย-กรุงเทพฯ-สุดชายแดนภาคใต้ของไทย-มาเลเซีย
ความคืบหน้าดังกล่าวเป็นอีกก้าวที่สำคัญของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเชื่อมโยงกับการขนส่งรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านและในภูมิภาค โดยเฉพาะการค้าชายแดนของไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันการค้าชายแดนของไทยยังมีอุปสรรคอีกหลากหลาย ทั้งด้านความแตกต่างของข้อปฏิบัติ กฎระเบียบ กฎหมาย วัฒนธรรม ภาษา รวมทั้งเศรษฐกิจและการเมือง แต่ด้วยปัจจัยหนุนทั้งจากการเปิดเสรีการค้าภายใต้กรอบอาเซียน และอาเซียน-จีน ซึ่งมีการลดภาษีนำเข้าเหลือร้อยละ 0 ในสินค้าหลายรายการ และจะทยอยลดภาษีมากขึ้นในอนาคต ประกอบกับการเปิดเสรีการค้าบริการอาเซียนสาขาโลจิสติกส์ที่มีเป้าหมายการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบในปี 2556 อีกทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทั้งที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและการศึกษา อาทิ การขนส่งทางถนนตามเส้นทางต่างๆ ทั้ง R3A และ R12 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 และ 4 (ไทย-ลาว) เป็นต้น จะช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการค้าได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มของเศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้านที่น่าจะขยายตัวได้ในระดับดี และเป็นประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ซึ่งจะมีการเปิดประเทศมากขึ้นอย่างลาว พม่า และกัมพูชา จะช่วยให้การค้าชายแดนของไทยสามารถขยายตัวได้ในระดับที่ดี
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2553 การค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทยกับ มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ อาจมีมูลค่าประมาณ 750,000-790,000 ล้านบาท หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 16.0-22.0 จาก 646,813 ล้านบาท ในปี 2552 ขณะที่ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2554-2558) มูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนอาจเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,500,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 8 ของการค้ารวมของไทย จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 6.8
ด้านการท่องเที่ยว หากความร่วมมือระหว่างประเทศภายในภูมิภาคมีการพัฒนาต่อไป คาดว่าตลาดนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงเวียดนามและจีนจะเติบโตได้มากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนซึ่งภาครัฐมีเป้าหมายเชิงรุกที่จะดึงดูดเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจีนมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาถึงระดับ 2 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับ 1 แทนที่มาเลเซียและญี่ปุ่นได้
โดยหากการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานอาเซียนขนาดใหญ่แล้วเสร็จ ประกอบกับความร่วมมือเพื่อลดอุปสรรคทางด้านการค้าระหว่างประเทศที่มีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการเปิดเสรีการค้า การค้าบริการ และการลงทุนที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถผลักดันเพื่อก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ได้ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของภูมิภาคให้สามารถขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดดในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งการพัฒนาและความร่วมมือข้างต้นอาจนำมาซึ่งการแข่งขันที่สูงขึ้นจากทั้งสินค้าและบริการ รวมถึงผู้ประกอบการจากประเทศเพื่อนบ้านและในภูมิภาคที่จะเข้ามายังตลาดภายในประเทศไทย โดยเฉพาะจีน ซึ่งอาจทำให้มีการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบัน