“กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี” จ่อขายปลายปี

บมจ.ดุสิตธานี เตรียมออกและเสนอขาย “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี” หรือ DTCPF ปลายปีนี้ เผยมูลค่ารวมกว่า 4 พันล้านบาท ใหญ่ที่สุดในบรรดากองทุนอสังหาฯ ประเภทโรงแรม อีกทั้งยังเป็นกองทุนแรกที่ผสมผสานการลงทุนในโรงแรมชั้นนำกระจายใน 3 ทำเลที่ดีที่สุด ทั้งกรรมสิทธิ์โรงแรม ดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต และดุสิตดีทู เชียงใหม่ รวมทั้งลงทุนในสิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปีในโรงแรม ดุสิตธานี หัวหิน ด้าน บลจ.กรุงไทย เผยนอกจากสินทรัพย์โรงแรมหรู 3 โครงการที่มีโอกาสเติบโตสูงแล้ว DTC ยังการันตีค่าเช่าในช่วง 4 ปีแรก มั่นใจนักลงทุนตอบรับหนาแน่น

กรุงเทพฯ – นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขาย “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี” (DTCPF) ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนด้วยการซื้อกิจการโรงแรม ดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต และโรงแรม ดุสิตดีทู เชียงใหม่ รวมทั้งจะเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปีในโรงแรม ดุสิตธานี หัวหิน รวมมูลค่ากองทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี” นับเป็นกองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม กองทุนแรกที่ลงทุนในสินทรัพย์หลายโรงแรม ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน ขนาดของ กองทุนกว่า 4 พันล้านบาท ยังนับได้ว่า เป็นกองทุนประเภทโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย โดยผู้เช่าคือ บริษัท ดุสิต แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (DTC) ถือหุ้น 99.99% จะเช่าทั้ง 3 โรงแรมจากกองทุน ด้วยค่าเช่าคงที่และค่าเช่าแปรผัน ซึ่งจะช่วยสร้างให้ความมั่นใจและมั่นคง ของผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนโดยขณะนี้กองทุนอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจัดตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการ “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี” กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวจะเข้าลงทุนโดยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ (Freehold) ในที่ดิน อาคาร และงานระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมและเฟอร์นิเจอร์ ทรัพย์สินติดตรึงตราและอุปกรณ์ต่างๆ ของโรงแรม ดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต และโรงแรม ดุสิตดีทู เชียงใหม่ รวมทั้งลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) เป็นระยะเวลา 30 ปี ในที่ดิน อาคาร และงานระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเฟอร์นิเจอร์ ทรัพย์สินติดตรึงตรา และอุปกรณ์ต่างๆ ของโรงแรม ดุสิตธานี หัวหิน โดยสัดส่วนการลงทุนในกองทุนนี้เป็น Freehold มากกว่า 75%

นอกจากจุดเด่นของทรัพย์สินและความหลากหลายในแต่ละทำเลของโรงแรมในเครือดุสิตธานี ซึ่งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับชาวไทยและต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตในอนาคตแล้ว ทาง DTC ยังรับประกันรายได้ค่าเช่าขั้นต่ำรายปีของโรงแรมทั้ง 3 แห่ง สำหรับระยะเวลา 4 ปีแรกอีกด้วย เพื่อให้นักลงทุนได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตราที่น่าพอใจ โดยกองทุนรวมคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละครั้ง

“DTC ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน จะวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในวงเงินค้ำประกันจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็น หลักประกันการชำระรายได้ค่าเช่าให้กับกองทุนในช่วงสัญญาเช่า 4 ปีแรกอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับ ผู้ลงทุนถึงผลตอบแทนที่แน่นอน และลักษณะของการลงทุนที่ผสมผสานระหว่าง Freehold กับ Leasehold จะสร้าง ผลตอบแทนที่น่าพอใจและเหมาะสมให้กับผู้ลงทุน โดยคาดว่า” นายสมชัยกล่าว

ขณะที่นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ในกองทุนรวมที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ การลงทุนใน กรรมสิทธิ์โรงแรม ดุสิต ธานี ลากูน่า ภูเก็ต รองลงมาคือ โรงแรม ดุสิตธานี หัวหิน และโรงแรม ดุสิตดีทู เชียงใหม่ นั้น พบว่าสอดคล้องกับความสามารถในการสร้างรายได้ ซึ่งโรงแรม ดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยและอัตรา ค่าห้องพักเฉลี่ยสูงที่สุด และเมื่อพิจารณาการบริหารจัดการโดยบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ ในการบริหารและจัดการโรงแรมมาอย่างยาวนานเป็นระยะเวลากว่า 60 ปี อีกทั้งแบรนด์ “ดุสิต” ยังจัดได้ว่าเป็น Regional Brand ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้เชื่อมั่นว่า โอกาสและศักยภาพในการเติบโตของโรงแรมทั้ง 3 แห่ง ซึ่งอยู่ในทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตสูง จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนที่ลงทุนใน “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าดุสิตธานี” ได้อย่างน่าพอใจ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ยังกล่าวด้วยว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และเหมาะกับสถานการณ์การลงทุนในขณะนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ และ โดยธรรมชาติแล้ว มีรายได้ที่เติบโตตามอัตราเงินเฟ้อ จึงเป็นการลงทุนที่มีส่วนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Protection) ได้ด้วย ซึ่งแม้ว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ที่ผ่านมา ดอกเบี้ยอยู่ในระดับ ที่ต่ำมาก และการปรับขึ้นก็เป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น แนวโน้มผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากจึงยังไม่น่าจะสูงกว่าระดับปัจจุบันมากนัก จึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดี ปกป้องความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ และโดยทั่วไปมักจะมี ความเสี่ยงที่น้อยกว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ

นายสิทธิไชย มหาคุณ Head of Corporate Finance & Equity Capital Market บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีไอเอ็มบี ไทย (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า จากการสัมมนาเพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันหลายแห่งแสดงความสนใจในการลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี เนื่องจากเชื่อมั่นในความสามารถในการบริหารโรงแรมของบริษัทดุสิตธานี ประกอบกับจุดเด่นของโครงสร้างกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงในหลายทำเลที่ตั้ง รวมทั้งขนาดของกองทุนที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ น่าจะสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดรองได้เป็นอย่างดี โดยต้องยอมรับว่า โครงสร้างกองทุนที่ลงทุนในหลายสินทรัพย์ และขนาดกองทุนที่ใหญ่เพียงพอ เป็นโครงสร้างกองทุนที่ได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงค์โปร์ และฮ่องกง ซึ่งมีผลทางอ้อมทำให้ราคาซื้อขายในตลาดรองอยู่ในระดับที่น่าพอใจอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่านักลงทุนรายย่อยเริ่มมีความเข้าใจในตราสารประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากว่า 30 กองทุน รวมทั้งน่าจะเป็นทางเลือกของการลงทุนสำหรับผู้ฝากเงิน และเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่มีความยืดหยุ่นกว่าในแง่ของขนาดของการลงทุน และสภาพคล่องที่มากกว่า นอกจากนี้มูลค่าของทรัพย์สินที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ลงทุน โดยเฉพาะที่ดิน โดยปกติจะเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ทำให้อาจได้รับผลตอบแทนจากมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาวอีกด้วย

“เราเชื่อมั่นว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี จะได้รับการตอบรับจากลูกค้านักลงทุนที่หลากหลายทั้งนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าผู้ฝากเงินธนาคาร และเชื่อว่าด้วยจุดเด่นของกองทุน ที่บริหารจัดการอย่างมืออาชีพโดย “ดุสิตธานี” และศักยภาพด้านทำเล ผนวกกับโอกาสในการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยในจุดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้ทาง บล.ซีไอเอ็มบี และ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน รวมถึง บลจ.กรุงไทย ในฐานะผู้จัดการกองทุน มีความพร้อมในการเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวให้กับนักลงทุนอย่างเต็มที่” นายสิทธิไชยกล่าว