ปรากฏการณ์ “ฟับบิ้ง”

เมื่อวัฒนธรรมการก้มหน้า ดูมือถือ กลายเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ล่าสุด “เวเบอร์ แชนด์วิค” บริษัทประชาสัมพันธ์ ได้สำรวจพฤติกรรมของคนยุคนี้ ที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์มือถือมากกว่าจะสนใจ เพื่อน หรือคู่สนทนาที่อยู่ตรงไปแล้ว โดยเรียกพฤติกรรมนี้ว่า “ฟับบิ้ง (Phubbing)”

ส่วนในไทย เราอาจเรียกกันว่า “วัฒนธรรมก้มหน้า” เพราะดูอย่างคนเมืองเวลานี้ เวลาขึ้นรถไฟฟ้า กว่า 70%-80% มักจะก้มหน้าอยู่กับมือถือ หรือไปร้านอาหาร แทนที่จะสังสรรค์ แต่กลับกลายเป็นว่า ต่างคนต่างง่วนอยู่กับเฟซบุ๊ก อัพภาพอินสตาแกรม ดูละครที่พลาดไป

แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นักร้อง นักแต่งเพลง แต่งเพลงฮิต “โอมจงเงย” ที่มีเนื้อร้องว่า “แต่แล้วเธอก็ไม่มอง แล้วเธอก็ไม่มา ก้มหน้าก้มตาละเลงนิ้วมือลงบนเครื่องนั้น ยิ้มหัวเราะคนเดียว ไม่เหลียวข้างหน้าข้างหลัง ต้องจบลงที่ฉัน พนมนิ้วมือท่องคาถา…” กันดีอยู่แล้ว และใครหลายคน ก็คงจะเคยได้สัมผัสกับการ “ฟับ” (Phub) มาไม่มากก็น้อยเช่นกัน

ในประเทศออสเตรเลีย มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ นำโดย อเล็กซ ไฮย์ นักศึกษาปริญญาโทวัย 23 ปี ได้ริเริ่มแคมเปญ “Stop Phubbing” ผ่านทางเว็บไซต์ www.stopphubbing.com เพื่อรณรงณ์ให้คนเงยหน้าขึ้นมาจากจอโทรศัพท์และหันกลับมามองกันและกันให้มากขึ้น

หลังจากได้รับความสนใจจากทั่วโลก แคมเปญดังกล่าวก็มาถึงประเทศไทย ที่ซึ่งใครๆ ก็ ฟับ กันทุกที่ ทุกเวลา แม้แต่จะเดิน กิน เรียนหนังสือ หรือแม้แต่ในวินาทีเสี่ยงชีวิต อย่างการเดินข้ามถนนก็ตาม จากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่มีอายุตั้งแต่ 12 ถึง 45 ปี พบว่า คนส่วนใหญ่สารภาพว่าตนเองมีพฤติกรรม ฟับ ขณะที่ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจท่านหนึ่งระบุว่า เพื่อนของผู้ถูกสำรวจเกือบจะถูกรถชนเนื่องจากเพลิดเพลินกับการ ฟับ ระหว่างการข้ามถนน!

นอกจากนี้ ผลสำรวจเผยว่า คนส่วนมาก ฟับ เพราะรู้สึกเบื่อ ไม่มีอะไรทำ หรือมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ เด็กหญิงวัย 12 ปี ผู้ตอบแบบสำรวจ กล่าวว่า “บางครั้งหนู ฟับ เพราะหนูไม่สามารถพูดสิ่งที่หนูอยากพูดกับคนที่อยู่ตรงหน้าได้ แต่หนูสามารถระบายอารมณ์โกรธให้เพื่อนๆ ฟังได้ผ่านโลกออนไลน์”

“ผม ฟับ เพราะคนรอบข้างผมไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ผมทำ” ชายอายุ 35 ปีกล่าว

ผู้ถูกสำรวจวัย 20 ปีอีกราย กล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกประหม่าเวลาอยู่ท่ามกลางผู้คน ผมก็จะ ฟับ การแชตกับเพื่อนก็สามารถทำให้ผมรู้สึกมั่นใจขึ้นได้”

การ ฟับ ในร้านอาหาร ในบาร์ ระหว่างการสนทนา หรือแม้กระทั่งในงานแต่งงาน แต่เคยรู้หรือไม่ว่ามันส่งผลกระทบต่อคนรอบตัวเราอย่างไร การโดน ฟับ ทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิด โมโห รวมไปถึงไม่ได้รับความสนใจจากคู่สนทนา

จากผลการศึกษาวิจัยทั่วโลก เวเบอร์ แชนด์วิค พบว่า 71% ของผู้ถูกสำรวจเคย ฟับ ในขณะที่ 96% เคยถูก ฟับ โดย 80% ของผู้ที่เคยโดน ฟับ รู้สึกหงุดหงิด โมโห รวมถึงรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความสนใจจจากคู่สนทนา 80% เลือกให้การสนทนาแบบตัวต่อตัวเป็นสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะ ฟับ มากที่สุด

90% ของผู้ถูกสำรวจ ฟับ เพราะความเบื่อหน่ายหรือเพราะมีเรื่องสำคัญทำให้ต้อง ฟับ สถานการณ์ที่การ ฟับ ถือเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับได้มากที่สุดคือระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าเป็นทางรถยนต์ หรือทางรถไฟฟ้าบีทีเอส/บีอาร์ที รองลงมาคือบาร์ 9% ของผู้ถูกสำรวจกล่าวว่า ไม่มีสถานการณ์ใดที่การ ฟับ ถือเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับได้ และ 84.31% ลงความเห็นว่าตนเองต่อต้านการ ฟับ เหมือนไม่ได้รับความสนใจจจากคู่สนทนา 80% เลือกให้การสนทนาแบบตัวต่อตัวเป็นสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะ ฟับ มากที่สุด

สาเหตุของอาการ “ฟับ” มาจากความนิยมของสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น ประกอบยอดขายที่เพิมขึ้นเท่าตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในการวิจัยยังระบุว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลิกอาการ ฟับ และจะเห็นการการ ฟับ ได้ชัดที่สุดระหว่างการโดยสารรถยนต์ร่วมกับเพื่อน หรือบนรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งผู้ตอบแบบสำรวจถือว่าเป็นการ ฟับ ในสถานการณ์ที่ยอมรับได้มากที่สุด ส่วนการ ฟับ ที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ที่สุด คือการ ฟับ ทั้งๆ ที่กำลังมีคู่สนทนาเพียงหนึ่ง หรือไม่กี่คน

“ฉัน ฟับ ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันทำให้ฉันมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ‘จริงๆ’ น้อยลง เพราะไม่ได้สื่อสารกับคนรอบข้าง ตอนนี้ฉันจึงพยายามจะ ฟับ ให้น้อยลง ” เด็กสาววัย 15 ปีกล่าว “ฉันคิดว่าเราไม่ควรจะ ฟับ ในขณะที่ผู้อื่นพยายามจะคุยกับเรา แต่ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าฉันไม่ควรจะ ฟับ ฉันก็ยัง ฟับ อยู่ดี”

พวกเราล้วนแล้วแต่ต่อต้านการ ฟับ แต่ถึงกระนั้นเราก็ทำอยู่ดี แล้วทำไมเราถึงหยุด ฟับ ไม่ได้ล่ะ?


**ผู้ตอบคำถามสามารถเลือกได้มากกว่า 1 คำตอบสำหรับคำถามนี้
คำตอบอื่นๆ: “ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเคารพ”
“มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเหตุผล”
“ที่จริงแล้วฉันรู้สึกโล่งใจ เพราะไม่ต้องพยายามคุยกับคนแปลกหน้า”