ว่ากันว่าการบ่มเพาะความเป็น “หนอนหนังสือ” ของคนไต้หวันนั้นเริ่มมาจากรากเหง้าของวัฒนธรรมจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปลูกฝังให้คนรักการอ่านเพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ ต่อมาในช่วงเวลาเกือบ 4 ทศวรรษ (1949-1987) ที่เสรีภาพของสื่อมวลชนถูกปิดกั้นโดยรัฐบาลได้สิ้นสุดลง ความกระหายในการรับรู้ข่าวสารถูกตีปีก เมื่อคนสามารถเข้าถึงสื่อสิ่งพิมพ์ได้อย่างเสรี ทำให้ผู้ทำหนังสือใต้ดินผงาดขึ้นมาอยู่บนดิน และสื่อสารพัดสำนักก็ลุยสร้างผลงานเข้าถึงนักอ่านทุกวัยอีกครั้ง!
และหนึ่งในสถานที่ที่คนไต้หวันเข้าไปอ่านหนังสือกันมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น “เฉิงผิ่น”
“เฉิงผิ่น (成品)” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Eslite” เป็นต้นแบบร้านหนังสือ 24 ชั่วโมงที่กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมใหม่ในไต้หวัน และถึงแม้วันนี้เฉิงผิ่นจะเปิดมาแล้ว 24 ปีแต่ยังเป็นร้านที่ไม่เคยหลับและไม่เคยเอ้าท์
นอกจากจะมีบรรยากาศชวนให้อ่านหนังสือแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ เสพสื่อ งานศิลป์ จิบชา และแหล่งช้อปปิ้งสินค้ามีดีไซน์ของคนเมืองขนาดกะทัดรัดแห่งนี้ สมกับสโลแกนของบริษัทที่ว่า Book and everything in between ทั้งนี้เฉิงผิ่นยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 100 แบรนด์ที่ดีที่สุดของไต้หวัน และเป็นร้านหนังสือที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ในเอเชียอีกด้วย
ถึงแม้ตลอด 15 ปีแรกที่เปิดร้านในสาขาต่างๆ ทั่วไต้หวัน คำว่า “กำไร” ไม่พบในตารางงบดุลบริษัท แต่วันนี้กลับกลายเป็นบริษัทที่มีรายได้ปีละ 1,600 ล้านบาท! เบื้องหลังคืออะไร? และเส้นทางธุรกิจใหม่ของเฉิงผิ่นคืออะไร เรามาเจาะลึกไปพร้อมๆ กัน
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ธุรกิจด้านวัฒนธรรมแบบครบวงจรของเฉิงผิ่น แตกออกเป็น 4 สาขาด้วยกัน ได้แก่ 1.ขายหนังสือทั้งที่ร้านและออนไลน์ 2. มีค่ายเพลงและเปิดฮอล์ขายบัตรชมการแสดงคอนเสิร์ต 3. มีแกลอรี่ศิลปะเน้นโปรโมทและขายผลงานของศิลปินเอเชียโดยเฉพาะ 4.ธุรกิจร้านอาหารและไวน์ โดยทุกธุรกิจมี Positioning ที่แน่นอนว่า ต้องเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม และหากเป็นแบรนด์ท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงก็จะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดีธุรกิจที่ทำเงินได้จริงๆ ของตระกูลอู๋ เจ้าของเฉิงผิ่นนั้นมิใช่การขายหนังสือแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทำเลทองต่างหาก เพราะการระบุว่าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อทำกิจการหนังสือนั้นจะเสียภาษีที่ 20% (ต่ำกว่าธุรกิจอื่นๆที่ต้องเสีย 40%) ดังนั้นวันนี้ที่ห้างเฉิงผิ่นทุกสาขา ก็ยังมีลานขายหนังสืออยู่อย่างน้อย 1 ชั้นเสมอ แต่ชั้นอื่นๆ ล้วนเปิดให้แบรนด์เล็กๆใหญ่มาเช่าพื้นที่ขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า หรือแม้แต่ของฝากขึ้นชื่อของไต้หวันอย่าง ชา และ ขนมพายสัปปะรด ตีเป็นตัวเลขง่ายๆ ได้ว่ารายได้ของธุรกิจของเฉิงผิ่น 30% นั้นมาจากหนังสือ และ 70% มาจากธุรกิจอื่นๆ
ล่าสุดธุรกิจแขนงที่ 5 ของเฉิงผิ่นก็เป็นรูปเป็นร่าง นั่นคือ ตึกความสูงกว่า 10 ชั้น ตั้งตระหง่านไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ของดร.ซุนยัดเซ็น ในนาม Eslite Spectrum Songyan Store ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ อาคารนี้แบ่งออกเป็น 2 โซนหลักคือ โรงแรมขนาด 104 ห้องและห้างที่ขายหนังสือและสินค้าจากแบรนด์ท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นแหล่งนัดพบของคนรักศิลปะแห่งใหม่ใจกลางไทเป
ปัจจุบันในไต้หวันจากเหนือจรดใต้มีร้านเฉิงผิ่นกว่า 80 สาขา ปัจจุบันได้ขยายสาขาไปต่างแดนด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ฮ่องกง และปีหน้าก็พร้อมเปิดที่ซูโจว ปีต่อไปเป็นคิวของเซี่ยงไฮ้หังโจว นานกิง เป็นรายต่อๆ ไป โดยมิสเตอร์อู๋ซีอีโอหวังว่าอีก 10 ปีต่อจากนี้ จะมีสาขาของเฉิงผิ่นครบ 100 สาขาในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยที่ไม่หวั่นเรื่องคู่แข่ง หนังสือปลอม หรืออี-บุ๊ค เพราะเฉิงผิ่นรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองไม่ได้ขายหนังสือ แต่ขายบรรยากาศและวัฒนธรรมที่ได้ก่อน ระหว่าง และหลังพลิกอ่านหนังสือต่างหาก!