เศรษฐกิจข้างม็อบเฟื่องฟู อู้ฟู่กันถ้วนหน้า

วัน “ชัตดาวน์ กรุงเทพฯ” ที่อาจทำให้หลายคนต้องกังวลกับเรื่องของเศรษฐกิจ แต่เหตุการณ์ที่ไร้ความรุนแรงยิ่งทำให้ธุรกิจขายของที่ระลึกสำหรับการชุมนุมเฟื่องฟู เกิดเงินหมุนเวียนเป็นอย่างมาก และจะเห็นจำนวนร้านค้าเกิดขึ้นใหม่มากมาย เพราะหลายคนได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นธุรกิจที่โกยรายได้มหาศาล ผู้ค้ารายหนึ่งถึงกับบอกเลยว่า “ขายของที่นี่ทำให้สามารถลืมตาอ้าปากได้เลย!”

ในการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งที่แล้วมา ก็มีสินค้าที่ระลึกต่างๆ ในม็อบ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุม เช่น เมื่อครั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มี เสื้อสีเหลือง และอุปกรณ์มือตบ เป็นสัญลักษณ์ประจำม็อบที่มีคนอุดหนุนกันคับคั่ง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่นอกจากจะมี “นกหวีด” ที่ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำม็อบ จนถูกเรียกว่า “ม็อบนกหวีด” แล้ว การนำลายธงชาติไทยมาใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำม็อบ ทำให้การนำไปประยุกต์ใช้กับของที่ระลึกต่างๆ ทำได้หลากหลาย มากมาย ทั้งเสื้อยืดสารพัดแบบ ริบบิ้น สายรัดข้อมือ ผ้าโพกหัว หมวก ถุงมือ นาฬิกา ปลอกมือถือ ไปจนถึงสินค้าแฟชั่นอย่างที่คาดผม แหวน ต่างหู กำไล ที่ทยอยออกคอลเลกชั่นใหม่มาเรื่อยๆ เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายก็ขนมาจำหน่ายแก่ผู้ชุมนุม ราคาก็มีตั้งแต่สิบบาทไปจนถึงหลายร้อยบาท

เรียกว่า ถ้าใครไปร่วมม็อบแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ต้องหาซื้อนกหวีด และริบบิ้น เป็นอย่างแรก เพื่อให้รู้ว่ามาร่วมม็อบ กปปส. จากนั้นจะซื้อของที่ระลึกอะไรก็แล้วแต่รสนิยมและความชอบ ยิ่งม็อบมาชุมนุมในย่านคนทำงาน แหล่งช้อปปิ้งด้วยแล้ว ยอดขายสินค้าในม็อบก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น

สินค้ายอดนิยมอย่างนกหวีดที่อยู่คู่การชุมนุมมาตั้งแต่เริ่มต้น ในตอนแรกจะเห็นว่ามีแค่นกหวีดแบบธรรมดาที่มาพร้อมกับสายคล้องลายธงชาติไทย ราคา 20 บาท แต่ก็มีสีของนกหวีดให้เลือกมากมาย แต่เมื่อได้อัพเกรดเป็นสินค้าแฟชั่น เริ่มมีนกหวีดหลากหลายดีไซน์มากขึ้น ให้ผู้ชุมนุมได้เลือกแบบจุใจ ราคาจะมีตั้งแต่ 20 – 190 บาท มีทั้งนกหวีดที่วัดอุณหภูมิได้ นกหวีดลายตัวการ์ตูน โดราเอมอน แต่จะมาพร้อมกับสายคล้องลายธงชาติเหมือนกัน

สินค้าของที่ระลึกต่างๆ ที่เห็นเหล่านี้ เหล่าผู้ค้าได้ไปรับจากสถานที่เดียวกันคือสำเพ็ง บางอย่างก็นำมาทำเองเพิ่มเติมคือ ที่คาดผม โดยการเอาริบบิ้นลายธงชาติมาพันรอบที่คาดผม

ส่วนการขายสินค้าในพื้นที่นั้นได้รับการยืนยันมาแล้วว่าไม่มีการเสียค่าที่แต่อย่างใด สามารถไปจับจองค้าขายกันได้ฟรีๆ โดยแรกๆ อาจจะต้องไปจองกันแต่เช้าหน่อย แต่พอเข้าที่เข้าทางจะเริ่มมีที่ประจำของตนเอง แต่ภายหลังเริ่มมีการรจับจองพื้นที่กันมากขึ้น เพราะหลายคนได้มองเห็นโอกาสในการทำมาหากินจากการชุมนุมครั้งนี้

เมื่อทีมงาน POSITIONING ได้ลงพื้นที่สำรวจธุรกิจค้าขายบริเวณแยกอโศก พบว่าผู้ค้าส่วนใหญ่ 90% จะย้ายมาจากราชดำเนิน ส่วนที่เหลือจะเป็นผู้ค้าที่ค้าขายของอยู่บริเวณอโศกอยู่แล้ว แต่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนำสินค้าของที่ระลึกมาขายบ้าง เพราะไม่สามารถขายของได้ตามปกติ อีกทั้งยังเปิดเผยอีกว่า “รายได้ดีกว่าขายของปกติเสียอีก จากเดิมที่แต่ละวันขายได้ไม่ถึงหมื่น แต่ขายสินค้าที่ระลึกได้อย่างต่ำก็หมื่นหนึ่งแล้ว” แม่ค้าขายผลไม้รายหนึ่งกล่าว

รายได้เฉลี่ยของผู้ค้าของที่ระลึกขาประจำตั้งแต่ราชดำเนินจะอยู่ที่วันละ 7,000 – 10,000 บาท แต่ถ้าวันไหนเป็นวันที่นัดชุมนุมใหญ่ รายได้จะขึ้นไปถึง 20,000 เลยทันที จะเริ่มขายตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้าไปจนถึง 6 โมงเย็น ผู้ค้าบางคนนอนที่ชุมนุมเลยก็มี  

แต่สินค้าที่ขายดีและสร้างรายได้ได้สูงที่สุดเห็นจะเป็น “เสื้อยืด” จะมีราคาตั้งแต่ 100 – 200 บาท เรียกได้ว่าร้านไหนที่มีขาย ร้านนั้นจะมีลูกค้าเข้าร้านตลอด ส่วนใหญ่ผู้ค้าจะไปรับซื้อจากประตูน้ำหรือโบ๊เบ๊ แต่ถ้าร้านไหนทำเองต้นทุนก็จะถูกลงไปอีก ผลสำรวจจากร้านขายเสื้อร้านหนึ่ง มีรายได้เฉลี่ยต่อวันสูงถึงวันละ 40,000 – 50,000 บาท แต่ถ้าวันที่มีชุมนุมใหญ่ยอดขายจะพุ่งสูงถึง 100,000 บาทเลยทีเดียว! เช่นเดียวกับวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ได้มาขายที่แยกอโศกเป็นวันแรก ยอดขายก็เหยียบแสนเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะคนละแวกนี้มีกำลังซื้อค่อนข้างเยอะ ทำให้การจับจ่ายหมุนเวียน

รายได้มหาศาลที่เกิดขึ้นสู่ร้านค้าทั้งหลายนี้เกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยที่สำคัญประการแรกคือ ขายฟรีไม่เสียค่าที่ จะขายกี่วัน ขายกี่โมงก็ได้ ไม่มีคนมาไล่ที่ ประการที่สอง ผู้ค้าไม่ต้องเสียค่าครองชีพใดๆ เพราะที่ชุมนุมมีอาหารและน้ำบริการฟรีตลอด ประการที่สาม สินค้าต้นทุนต่ำ ได้กำไรค่อนข้างสูงประมาณ 50%

แต่มีข้อจำกัดอยู่แค่ประการเดียวเท่านั้น คือ มีคู่แข่งเยอะ เพราะมีร้านค้าเกิดใหม่ขึ้นมามากมายเพราะมองเห็นโอกาสในรายได้ จึงมาลงทุนขายสินค้าในที่ชุมนุมบ้าง อีกทั้งยังเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน ลูกค้าจะซื้อร้านไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกเยอะ

ลายเสื้อที่ขายดีจะเป็นลายธงชาติไทย มีราคาตั้งแต่ 150 – 200 บาท โดยทางร้านจะออกแบบเอง และไปจ้างร้านสกรีนเสื้อเอง ทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก พ่อค้าขายเสื้อรายหนึ่งถึงกับเปิดเผยเลยว่า “ขายของที่ม็อบครั้งนี้ทำผมให้ลืมตาอ้าปากได้เลย!”

ใช่ว่าจะมีเพียงพ่อค้าแม่ขายทั่วไปที่มาขายของที่ระลึกในที่ชุมนุมเท่านั้น ยังมีคนดังอย่าง ศิลปิน และดีไซเนอร์ Shutdown BKK ที่มีคนดังอย่าง “ศักดิ์ชัย กาย” เจ้าของนิตยสาร “ลิปส์” ที่ทำออกมาพิเศษ รับกับวันปิดกรุงเทพฯ สกรีนอักษรสีแดง และน้ำเงิน จำหน่ายตัวละ 300 บาท เพื่อนำรายได้มาเป็นกองทุนสนับสนุนให้กับ กปปส. ยิ่งได้ “อัญชะลี ไพรีรัก” ที่เวลานี้เปรียบเสมือนเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ กปปส. สวมใส่ขึ้นเวที ยิ่งขายดิบขายดี ทำรายได้มอบให้กปปส. ไปแล้ว 1 ล้านบาท จนมีคนลอกเลียนแบบมาขายกันในม็อบ

นอกจากนี้ยังมีดีไซเนอร์อย่าง เมนาท นันทขว้าง เจ้าของร้าน “โซดา” ร้านแฟชั่นเก่าแก่ แห่งสยามเซ็นเตอร์ ออกแบบเสื้อยืดลาย “NOW OR NEVER” ออกมาจำหน่ายตัวละ 200 บาท  ได้เงินมา 5 แสนบาท มอบให้ กปปส. ยังมีเสื้อยืดของ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ ออกแบบลายเส้น “ลุงจ่อย” ออกขาย นำรายได้สมทบทุนให้กับ กปปส.

ส่วนแนวร่วมกลุ่ม กปปส. ที่เป็นที่กล่าวถึงค่อนข้างมากในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง ตั๊น – จิตภัสร์ กฤดากร ที่ตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุลจากภิรมย์ภักดี เพื่ออุทิศให้การเมืองเต็มที่ ก็ได้ออกของที่ระลึกเป็น “ตุ๊กตาตั๊น” แบ่งเป็น 3 ขนาดด้วยกัน คือ พวงกุญแจราคา 200 บาท ตุ๊กตาขนาดเล็กราคา 500 บาท และตุ๊กตาขนาดใหญ่ราคา 800 บาท ผลิตออกมาอย่างละ 500 ชิ้น ซึ่งสินค้าลอตแรกได้จำหน่ายหมดแล้วเรียบร้อย ซึ่งรายได้ทั้งหมดจะสนับสนุนครัวราชดำเนินของการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.

ส่วนทางด้านช่องรายการ “บลูสกาย” เอง ก็ทำสินค้าออกมาจำหน่ายมากมาย หลังจากทำนกหวีดสายฟ้าขายดิบขายดี ก็ออกนกหวีดรุ่น “Limited Edition” เป็นรูปสายฟ้าทำจากทองคำแท้ ราคา 1 แสนบาท ออกมาจำหน่าย 99 ชิ้น และนกหวีดสายฟ้าทำจากเงินแท้ ราคา 5 พันบาท ทำมาจำนวน 999 ชิ้น 

เรียกว่า สินค้าที่ถูกผลิตออกมาขายดีกันถ้วนหน้า ทั้งพ่อค้าแม่ค้าขาประจำและชั่วคราว รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องการนำเงินมาสมทบ