เดลล์ประกาศศักยภาพผู้นำ End-to-End Solutionsในงาน “เดลล์ โซลูชั่นส์ ทัวร์ 2014” พร้อมฉลอง อายุครบ 30 ปี มุ่งต่อยอดสู่ความสำเร็จที่ยิ่งขึ้นในอนาคต

เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จัดงาน เดลล์ โซลูชั่นส์ ทัวร์ 2014 งานแสดงเทคโนโลยี และโซลูชั่นส์ทางด้านไอทีครบวงจร ที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี ยกทัพโซลูชั่นส์สุดไฮเทคแบบครบวงจร มาจำลองกันให้เห็นทั้งโซลูชั่นส์สำหรับออฟฟิศ และหลังเลิกงาน เผย 4 ธีมหลักที่ตอบโจทย์การเพิ่มประสิทธิภาพด้านไอที เพื่อการแข่งขัน และการเติบโตขององค์กรธุรกิจ ได้แก่ Transform, Connect, Inform, Protect พร้อมฉลองวาระครบรอบ 30 ปี เดลล์ พร้อมมุ่งหน้าสู่การนำเสนอระบบไอทีที่พร้อมสำหรับอนาคต (Future-ready IT) พร้อมเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่สองรุ่นในกลุ่มสตอเรจ และเน็ตเวิร์กกิ้ง เพื่อการเติบโตขององค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ

นายอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) และผู้จัดการทั่วไปภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า การจัดงานเดลล์ โซลูชั่นส์ ทัวร์ 2014 เป็นการแสดงศักยภาพ และความพร้อมในการเป็นผู้นำด้านผู้ให้บริการด้านไอทีแบบครบวงจร โดยรูปแบบของงานเหมือนเป็นการย่อส่วนงาน “เดลล์ เวิลด์” มาไว้ในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งโซลูชั่นส์ และเทคโนโลยีที่เดลล์นำมาเป็นโซลูชั่นส์ที่มั่นใจแล้วว่าเหมาะกับองค์กรในประเทศไทย ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงธุรกิจทางด้านการเงิน ธนาคาร องค์กรภาครัฐ ภาคการศึกษา และโรงพยาบาล

โดยการนำเสนอโซลูชั่นส์ทั้งหมดของเดลล์ จะอยู่ภายใต้ธีมหลัก 4 ส่วน ซึ่งประกอบด้วย ทรานส์ฟอร์ม (Transform) การเพิ่มขีดความสามารถ IT agility องค์กรให้เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ใช้งบประมาณน้อยลง ซึ่งจะมีโซลูชั่นส์ต่างๆ มาโชว์เคส อย่างเช่น “คลาวด์ คอมพิวติ้ง” ที่จะมาช่วยให้องค์กรเพิ่มความฉับไว ได้สูงสุด และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้นด้วย ขณะที่ คอนเน็ค (Connect) จะเสนอโซลูชั่นส์ที่มุ่งไปที่การเพิ่มผลิตผลในการทำงาน (productivity) ที่จะช่วยให้กลุ่มคนทำงาน ยุคใหม่สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย (securely) ได้จากทุกที่ทุกเวลา บนทุกดีไวซ์หรือก็คือเทรนด์ทางด้าน BYOD นั่นเอง ถัดมาคือ อินฟอร์ม (Inform) เนื่องจากลูกค้า หรือองค์กรธุรกิจต่างต้องการที่จะจัดการ หรือควบคุมข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลเพื่อเพิ่ม insights เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทางธุรกิจ ทำให้ส่วนของ Big Data & Analytics เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการบริหารจัดการเชิงธุรกิจมากขึ้น ดังนั้นโซลูชั่นส์ในส่วนนี้จะรวมไปด้วยเทคโนโลยีที่จะช่วยให้มีการจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างคล่องตัว และสามารถขยายเผื่ออนาคตได้โดยงบไม่บานปลายอีกด้วย สุดท้ายคือ โพรเท็ค (Protect) ที่ครอบคลุมการดูแลรักษาความปลอดภัยขององค์กร (security) จากการโจมตีที่จะมาจากภายนอกได้อย่าง

“นอกจากนี้ ภายในงาน เดลล์ โซลูชั่นส์ ทัวร์ 2014 นี้ ยังมี การจัดแสดง Dell Office Connect  ออฟฟิศยุคใหม่ที่ได้จำลองนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาประยุกต์ใช้กับองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมงานเห็นภาพ และรายละเอียดการทำงาน ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ และซอร์ฟแวร์ อีกด้วย”  นายอโณทัยกล่าว

พร้อมกันนี้ เดลล์เตรียมฉลองการครบรอบ 30 ปีของการเป็นองค์กรธุรกิจในระดับแนวหน้าของโลก ในขณะที่เดินหน้าไปสู่อนาคต เพื่อสร้างเรื่องราวความสำเร็จใหม่เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

“จากที่ธุรกิจคอมพิวเตอร์ที่เริ่มต้นขึ้นในห้องพักของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสตินด้วยเงินลงทุนเพียง 1,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมพนักงาน 1 คนเมื่อ 30 ปีก่อน ปัจจุบัน เดลล์ได้กลายเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำระดับโลกที่มีพนักงานมากกว่า 100,000 คน และมีโซลูชั่นส์ที่ครบถ้วนเริ่มตั้งแต่ดีไวซ์ ไปจนถึงดาต้า เซ็นเตอร์ จนกระทั่งระบบคลาวด์ จากจุดเริ่มต้นในปี 1984 เดลล์สามารถประสบความสำเร็จขึ้นเป็น 1 ในรายชื่อบริษัทที่ติดลิสต์ของ Fortune 500 ในปี 1992 ด้วยเวลาเพียง 8 ปี จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เดลล์ก้าวออกจากตลาดหลักทรัพย์ ยังได้รับการจัดอันดับโดยฟอร์บสให้เป็นบริษัทจำกัด (private company) ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในสหรัฐอเมริกาในปีนี้อีกด้วย” นายอโณทัยกล่าว

นอกจากนี้ ความสำเร็จในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาของเดลล์ยังรวมถึง การเป็นผู้ให้บริการด้าน IT Healthcare อันดับ 1 ของทั่วโลก เป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดของ flat panel monitor อันดับ 1 ของโลก เป็นบริษัทอันดับ 1 ด้านโซลูชั่นส์ iSCSI สตอเรจ ในขณะที่เป็นอันดับ 2 ของ x86 เซิร์ฟเวอร์โพรไวเดอร์ทั่วโลก และอันดับ 2 ในบริการด้าน IT education ทั่วโลก “เราไม่ได้มองย้อนกลับไปที่ความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น ปัจจุบัน เรามองไปสู่อนาคตอีก 30 ปีข้างหน้า และต่อๆ ไป เพื่อการพัฒนาโซลูชั่นส์เพื่อนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า “ไอทีที่พร้อมสำหรับอนาคต” ที่ตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจได้อย่างเต็มที่ต่อไป” นายอโณทัยกล่าว

นายซูเมีย บาเทีย ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายโซลูชั่นส์สำหรับองค์กรธุรกิจ ประจำภาคพื้นเอเชียใต้ กล่าวว่า ปัจจุบัน พลังของเทคโนโลยี อาทิ คลาวด์ คอมพิวติ้ง โมบิลิตี้ บิ๊ก ดาต้า ตลอดจนอินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) และไอทีที่กำกับโดยซอฟต์แวร์ (software-defined IT) กำลังจะทำให้หน้ากระดาษของการพัฒนาไอทีเปลี่ยนแปลงไป อีกไม่นานเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบไอทีที่ทำงานเป็นเอกเทศ รวมไปถึงสตอเรจ และเน็ทเวิร์กกิ้งที่อยู่รวมกันเป็นไซโลจะหายไป สิ่งที่เรียกว่าคอนเวอร์เจนซ์จะเข้ามามีบทบาทในไอทีมากยิ่งขึ้น

ด้วยการเคลื่อนไหวของบริษัทด้านเว็บเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อาทิ กูเกิ้ล เฟซบุ๊ค และแอมาซอนที่สร้างดาต้า เซ็นเตอร์ของตัวเอง พร้อมเทคโนโลยีที่อยู่ภายใน องค์กรธุรกิจทั่วไปจึงเริ่มต่อหันมาให้ความสนใจต่อความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพด้านไอทีที่บริษัทเว็บยักษ์ใหญ่สร้างให้กับดาต้า เซ็นเตอร์ของตัวเองบนรากฐานของความสามารถขยายการเติบโต (scale) ไปพร้อมกับการเติบโตของความต้องการใช้แอพพลิเคชั่นของผู้ใช้ที่เว็บในส่วนหน้า (front-end) พร้อมเริ่มตั้งคำถามว่าองค์กรของตนเองจะสามารถด้านไอทีในรูปแบบเดียวกันนี้ได้หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดกระแสการพบกันของเทคโนโลยี 2 ฝั่งนั่นก็คือ ไอทีแบบดั้งเดิม (traditional IT) และไอทีรูปแบบใหม่ (New IT)

ขณะที่ไอทีแบบดั้งเดิม คือรูปแบบการให้บริการตามทรานแซ็คชั่นที่มีการลงบันทึก และโครงสร้างพื้นฐานได้รับการออกแบบเพื่อสนองตอบต่อรูปแบบธุรกิจที่เป็นอยู่ ไอทีรูปแบบใหม่จะมุ่งเน้นไปที่การมีส่วนเกี่ยวข้องกับโซเชี่ยลมากกว่าจะมองดูที่ ทรานแซ็คชั่น ระบบพื้นฐานทางด้านไอทีได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับกระบวนการทำงาน และธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ผู้ใช้บริการเป็นระบบสมาชิก (subscriber) หรือมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ (relationship) เป็นหลัก ทำให้ลูกค้าต้องตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน เป็นการทำให้โอกาสขององค์กรในการใช้ไอทีโซลูชั่นส์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดถูกจำกัด ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นนี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง เพราะจริงๆ แล้วลูกค้าจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีทั้งสองรูปแบบที่ผสมผสานมาด้วยกันซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ไอทีที่พร้อมสำหรับอนาคต” (Future-ready IT)

และเพื่อเป็นการตอบโจทย์ส่วนนี้ เดลล์ในฐานะผู้ให้บริการไอทีโซลูชั่นส์แบบครบวงจรสามารถใช้ความเชี่ยวชาญด้านไอทีทั้ง ในส่วนของไอทีรูปแบบเดิม และไอทีรูปแบบใหม่ในการสร้างโซลูชั่นส์ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับอนาคตที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ไอทีแบบเดิมมีประสิทธิภาพมากขึ้นขณะที่ทำให้ไอทีรูปแบบใหม่ทำงานได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

นายธเนศ อังคศิริสรรพ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร เป็นส่วนที่ต้องการงบประมาณที่ค่อนข้างสูงเพื่อใช้ในการจัดเก็บ และดูแลรักษา และการที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นจากดีไวซ์ที่เพิ่มขึ้นทำให้โซลูชั่นส์ อาทิ แฟลช สตอเรจ หรือคอนเวิร์จ อินฟราสตรัคเจอร์กลายเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับโลกที่ข้อมูลดิจิตอลมีการเติบโตโดยเฉลี่ยถึง 50 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ที่สำคัญ การจัดเก็บการรักษาความปลอดภัย การเข้าถึง และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วยังสามารถนำไปสู่ความสำเร็จ และความล้มเหลวของธุรกิจได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ในปี 2557 องค์กรธุรกิจยังคงต้องการปัจจัยพื้นฐานด้านไอทีที่ช่วยให้สามารถให้บริการคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว

โดยเทรนด์ของสตอเรจระดับองค์กรภายในปี 2557 นี้ จะรวมถึงแฟลช สตอเรจที่มีความสามารถในการจัดการข้อมูลด้วยระดับความเร็วที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าดิสก์รูปแบบเดิมๆ ที่อัตราราคาที่ต่ำลง โดยองค์กรธุรกิจจะมองหาผู้ค้าที่สามารถทลายข้อจำกัดด้านราคา และนำเสนอแฟลชเทคโนโลยีที่ราคาที่ถูกลงได้ นอกจากแฟลช สตอเรจแล้ว เทรนด์ในปีนี้ยังรวมถึงแฟลชในเซิร์ฟเวอร์ องค์กรจะได้รับประโยชน์ที่มากขึ้นจากการบูรณาการของเซิร์ฟเวอร์เข้ากับเทคโนโลยีแซน แฟลชเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องสละความพร้อมในการรองรับการใช้งาน (availability) อีกด้วย

“นอกจากนี้ เทรนด์ในปีนี้ ยังรวมถึงสิ่งที่เรียกว่าคอนเวอร์เจนซ์ ที่เป็นพลังผลักดันอยู่เบื้องหลังของระบบคอนเวิร์จ อินฟราสตรัคเจอร์ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความคล่องตัวในการดำเนินงาน และในการจัดการแอพพลิเคชั่น ตลอดจนการให้บริการ ไปจนถึงระบบซอฟต์แวร์-ดีไฟน์ สตอเรจ และระบบออโตเมชั่นสำหรับสตอเรจอีกด้วย” นายธเนศกล่าว

พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการสนองตอบต่อเทรนด์ด้านสตอเรจระดับองค์กร และการเตรียมความพร้อมเพื่อธุรกิจที่ต้องการโซลูชั่นส์ไอที ที่พร้อมสำหรับอนาคต เดลล์ได้ประกาศเปิดตัวสตอเรจ อะเรย์ มิด-เรนจ์ ตระกูล SC4000 ซีรี่ย์ ที่มาพร้อมกับออพชั่นของแฟลช อะเรย์ และไฮบริด อะเรย์ทั้งหมดนำเสนอสมรรถนะการทำงานในระดับเอนเทอร์ไพรซ์เพื่อการนำมาใช้งานในระดับมิด-เทียร์ด้วยแฟลช โซลูชั่นส์ทั้งหมดที่ค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าคอมพีทติ้ง อะเรย์1มากถึง 76 เปอร์เซ็นต์ และได้รับการออกแบบเพื่อสนับสนุนความต้องการใช้งานเวิร์กโหลดหลากรูปแบบ สามารถโฮสต์เมล์บอกซ์ของผู้ใช้ไมโครซอฟท์ เอ็กซ์เชนจ์ได้ถึง 10,000 เมล์บอกซ์ภายใน 2U SAN เพียงหนึ่งเดียว

นอกจากนี้ ยังเปิดตัว Dell Networking Z9500 Fabric Switch ซึ่งเป็นโซลูชันส์ระบบเชื่อมต่อเครือข่ายใหม่ล่าสุด ช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่ทันสมัยให้ผลลัพธ์รวดเร็วกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า เพื่อการทำงานบนสภาวะแวดล้อมคลาวด์ ที่มีการขยายระบบแบบ Scale-out ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ใหม่ประกอบไปด้วย Dell Networking Z9500 อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายที่ให้ความจุต่อแร็คสูงที่สุด ให้ประสิทธิภาพด้านประหยัดพลังงานสูง และเป็นสวิทช์หลักสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ 10/40 GbE เพียงรายเดียวที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ให้รูปแบบในการลงทุนตามการเติบโตของระบบ