สำหรับตลาดน้ำอัดลม แพ็คเกจจิ้งถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกส่วนหนึ่ง เพราะพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมของแต่ละคนค่อนข้างแตกต่างกัน ผู้ประกอบการจึงหันมาเล่นกลยุทธ์ไซส์ซิ่งกันมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกรูปแบบ
เป๊ปซี่นั้น เมื่อกลับมาครั้งใหม่ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือไม่มีขวดแก้ว ซึ่งถือว่ายังคงเป็นรายได้หลักสำหรับตลาดน้ำอัดลม
หลังจากนั้นเป๊ปซี่จึงพยายาม Educate ตลาดถึงเทรนด์การบริโภคขวด PET และได้ทำการปิดจุดอ่อนของการไม่มีขวดแก้วด้วยการออก เป๊ปซี่ เท็น ในราคา 10 บาท เพื่อตีตลาดร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งในกระป๋อง เป๊ปซี่ก็เลิกไซส์เดิม หันมามุ่งเน้น “สลิมแคน” ราคา 12 บาท เพียงอย่างเดียว เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ด้วยความเป็นโรงงานใหม่การผลิตยังมีข้อจำกัด การออกแพจเกจจิ้งของเป๊ปซี่ จึงต้องประเมินแล้วว่า สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและยุทธศาสตร์หลักของธุรกิจไดก่อน
ล่าสุดได้ออกแพ็คเกจจิ้งในขนาดใหม่ไซส์ใหญ่ขึ้น 1.26 ลิตร ราคา 25 บาท เพื่อตอบรับพฤติกรรมการดื่มกับเพื่อนและ เป็นครอบครัว ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เป็นอีกพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายของแพคเกจจิ้งของเป๊ปซี่ ยังเทียบไม่ได้กับ เอสของค่ายเสริมสุข ที่มีความพร้อมในเรื่องของโรงงานมากกว่า จึงเลือกใช้ความหลากหลายของแพ็คเกจจิ้ง มาเป็นจุดแข็งให้กับสินค้า เพื่อตอบโจทย์ พฤติกรรมการดื่มของผู้บริโภค แบบถี่ยิบ เรียกว่าตอบโจทย์ทุกขนาด และทุกช่องทาง ควบคู่ไปกับกลยุทธ์เรื่องราคาเข้ามาเสริม