แม้ที่ผ่านมาสหพัฒน์ได้เคยออกฟังก์ชั่นนอลดริ้งก์ในแบรนด์ “i-Healti” มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ดูเหมือนว่าตลาดจะไม่หวือหวา มีส่วนแบ่งการตลาดไปได้ไม่ถึง 5% เท่านั้น จากมูลค่าตลาดรวม 7,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 10% ต่อปี
การลงสังเวียนฟังก์ชั่นนอลดริ้งก์ครั้งใหม่ ในแบรนด์ “Starr infiniti (สตาร์ อินฟินิติ)” สหพัฒน์จึงแก้เกมทำตลาด ด้วยเปลี่ยนวิธีการสื่อสาร โดยใช้ “คีย์เวิร์ด” ใหม่ แทนที่จะใช้คำว่า “ฟังก์ชั่นนอลดริ้ง หรือบิวติดริ้ง” ที่หลายแบรนด์ได้พูดๆ กัน ที่อาจดูธรรมดาไปแล้ว แถมคู่แข่งก็มากมาย เปลี่ยนมาใช้ “คอสเม่ดริ้งก์” หรือเปรียบเปรยว่าเป็น “เครื่องสำอางดื่มได้” ดื่มแล้วสวย เห็นผลได้เหมือนแต่งหน้า ซึ่งจะเป็น “คีย์เวิร์ด”ใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ พร้อมทั้งนำชื่อแบรนด์เครื่องสำอาง BSC ของสหพัฒน์ฯ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดความงาม พ่วงเข้าไป เพื่อให้แบรนด์น่าเชื่อถือและชัดเจนยิ่งขึ้น
“ตอนแรกอยากใช้ชื่อแบรนด์ว่า Forever Young เพราะได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้ที่อยากได้สินค้าที่ชะลอวัย ให้สดชื่นแข็งแรงและสุขภาพดี ให้คนวัยอย่างผมก็ดื่มได้ แต่ติดที่ว่าทางกระทรวงสาธารณะสุขจะไม่ให้ เพราะเป็นการโฆษณาเกินจริง ซึ่งตลาดนี้ยังมีโอกาสอีกมากเพราะยังเติบโตสูงอยู่ เดี๋ยวนี้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ดูแลตัวเองทั้งนั้น และเขาก็ชอบอะไรที่เห็นผลเร็ว เราก็ทำสินค้าให้ตอบโจทย์เขา” บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวอย่างติดตลกถึงที่มาของสินค้าตัวนี้
สหพัฒน์ใช้เวลาในการ R&D ถึง 3 ปี จึงได้โปรดักส์ใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นการพัฒนาจาก “จุดอ่อน” ของ i-Healti ที่ก่อนหน้านี้มีเพียงสูตร Q10 ที่เหมาะสำหรับการช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง อ่อนวัย และ i-Healti gac จากแก็กฟรุ๊ต หรือน้ำฟักข้าว ซึ่งทั้งสองสูตรไม่ได้อยู่ใน “เทรนด์” ความต้องการของผู้บริโภคเท่าไหร่นัก
ในสตาร์ อินฟินิติจึงรวมทั้งคอลลาเจน, คิว 10 และมากิเบอร์รี่ ที่สหพัฒน์คิดแล้วว่าเป็นส่วนผสมที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด เพราะเทรนด์การดื่มคอลลาเจนมาแรง หลายๆ คนอยากผิวสวย
นอกจากจะพ่วงชื่อแบรนด์ BSC เข้าไปด้วยแล้ว ยังวางจำหน่ายที่เคาท์เตอร์เครื่องสำอาง BSC กว่า 150 สาขาทั่วประเทศด้วย เป็นการขยายช่องทางนอกเหนือจากโมเดิร์นเทรด บิวตี้ สโตร์ ร้านสะดวกซื้อ และคอลเซ็นเตอร์ วางจำหน่ายในราคา 45 บาท
โดยสหพัฒน์ตั้งเป้ายอดขายจาก สตาร์ อินฟินิติ ในปีแรกที่ 300 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาด 5-7% โดยทุ่มงบการตลาดทั้งหมด 50-100 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป้นงบการตลาดทางด้านออนไลน์จำนวน 20% เป็นการใช้ช่องทางผ่าน Influencer บนโลกออนไลน์