“จีเอฟเอ” ทุ่ม 300 ล้าน ขยายสาขา ปั้นแบรนด์ “โกลด์” เจาะเซ็กเม้นท์บน

จีเอฟเอ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) ผู้นำด้านอาหารและเครื่องดื่มประเภทแฟรนไชส์แบรนด์ “คอฟฟี่ เวิลด์” วาดยุทธศาสตร์ 3 ปี ทุ่ม 300 ล้านบาท ปูพรมสาขาอีก “เท่าตัว” พร้อมบุกหนักสร้างแบรนด์ทั้งไทย – อาเซียน

มร.ดาเรน ไวท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอฟเอ (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแฟรนไชส์ ภายใต้แบรนด์ คอฟฟี่ เวิลด์ คอฟฟี่ เวิลด์ โกลด์ ครีมแอนด์ฟัดจ์ ครีมแอนด์ฟัดจ์โกลด์ นิวยอร์กฟิฟท์เอเวนิวเดลี และคอฟฟี่ เวิลด์ เรสเตอรองท์ เปิดเผยว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2558 จะเน้นการขยายสาขา “คอฟฟี่ เวิลด์” มากขึ้น โดยตั้งเป้าเปิดอีก 50 สาขาในปีหน้า และอีก 50 สาขาในปี 2559 รวมทั้งสิ้นเป็น 200สาขาใน 3 ปี เพื่อให้สาขาเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่มีอัตราการบริโภคกาแฟสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เราได้วางงบประมาณไว้กว่า 300 ล้านบาทในการขยายสาขา เพื่อเข้าถึงลูกค้าในทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตลอดจนประเทศในภูมิภาคอินโดจีน”มร. ไวท์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทจะปรับคอนเซปต์สาขาในปัจจุบันทั้ง 100 สาขา ให้มีความพรีเมี่ยมมากขึ้นตามศักยภาพของพื้นที่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในปี 2558 หลังจากที่ผ่านมา บริษัทได้ผุดคอฟฟี่ เวิลด์ โกลด์ และครีมแอนด์ฟัดจ์ โกลด์ ขึ้นที่สยามพารากอน เพื่อจับตลาดลูกค้าที่ต้องการสินค้าและบริการที่มีความพรีเมี่ยมมากขึ้น ซึ่งหลังจากการเปิดตัวได้ 6 เดือน ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากลูกค้าประจำ ลูกค้าใหม่ ตลอดจนผู้ให้เช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

มร.ไวท์ กล่าวอีกว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์มากขึ้น โดยมุ่งเน้นที่รูปลักษณ์ภายนอกของร้าน เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของแบรนด์ให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์การขยายสาขาทั้งจากการลงทุนของบริษัทและผ่านระบบแฟรนไชส์ เพิ่มขึ้นจาก 100 สาขาในปัจจุบันเป็น 150สาขาในปีหน้าขณะเดียวกัน บริษัทจะคงพัฒนาเมนูอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ ตลอดจนเมนูที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันทั้งวาฟเฟิลและ เฟรปเป้ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันของการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

นอกจากนี้ บริษัทยังคงต่อยอดกับกลยุทธ์การตลาดด้วยการออกแคมเปญการตลาด เช่นLove in a Cup การจัดอบรมศิลปะการชงกาแฟลาเต้ และ “Tri Origin” กิจกรรมคั่วเมล็ดกาแฟ ด้วยยุทธศาสตร์การขยายสาขาและสร้างแบรนด์ บริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายรายวัน ลดเวลาการคุ้มทุน และการพัฒนาสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

มร.ไวท์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้การแข่งขันในธุรกิจร้านกาแฟจะรุนแรงขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บรรดาเชนร้านกาแฟชั้นนำทั้งในระดับสากล ตลอดจนร้านกาแฟขนาดเล็กที่มีความทันสมัย ได้บุกเข้ามาในตลาดธุรกิจกาแฟมากขึ้นเช่นกัน สะท้อนถึงอัตราการบริโภคกาแฟและความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในตลาด ทั้งยังเป็นการพิสูจน์ว่าคนไทยยังชื่นชอบการดื่มกาแฟในร้านที่มีบรรยากาศสวยงาม น่าดึงดูดเพื่อการพบปะเพื่อนฝูงและเจรจาธุรกิจ

แม้การแข่งขันจะมีอัตราที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็สะท้อนธุรกิจร้านกาแฟยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและทั่วโลก จากอัตราการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งยังได้รับอานิสงส์จากการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกในช่อง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจร้านกาแฟมีพื้นที่ที่จะเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

มร.ไวท์ กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจตลอด 18 ปีที่ผ่านมาในประเทศไทยและความแข็งแกร่งของแบรนด์ ตลอดจนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทางจีเอฟเอมั่นใจว่าจะยังคงสามารถความเป็นผู้นำในธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ

“เราได้ทำให้ร้านกาแฟได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในความเป็นอยู่คนไทยแล้ว ไม่เพียงแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ได้ขยายไปถึงกลุ่มวัยรุ่น คนโสด ผู้สูงอายุที่ชื่นชอบการจิบกาแฟไปพร้อมกับการอ่านหนังสือพิมพ์” มร. ไวท์ กล่าว

เขากล่าวเสริมว่า ในช่วงปีที่ผ่านเป็นอีกหนึ่งความท้าทายอย่างมากสำหรับการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม บริษัทก็สามารถจัดการให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดจนสามารถทำยอดขายได้บรรลุเป้า ทั้งจากการเปิดสาขาใหม่และรีโนเวทสาขาเดิม  โดยในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทสามารถสร้างรายได้มากกว่า 400 ล้านบาทจากการดำเนินงานของทั้ง 6 แบรนด์ในเครือ ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้ทั้งปีจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เราจะมุ่งมั่นพัฒนาพนักงานและทีมงาน เพื่อรักษาและยกระดับคุณภาพการบริการ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกระดับ เนื่องจาก เราเล็งเห็นความสำคัญของพนักงานและทีมงาน ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในการดำเนินงานของบริษัท