หากสำรวจหน้าเว็บไซต์ที่รายงานข่าวสารด้านไอทีในปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้นก็คือรีวิวการใช้งานแอปเปิลวอตช์ (Apple Watch) นาฬิกาอัจฉริยะที่หลายคนรอคอย รวมถึงแอปต่าง ๆ สำหรับแอปเปิลวอตช์ ซึ่งความร้อนแรงของนาฬิกาดังกล่าวมีมากจนกลบความเคลื่อนไหวของอุปกรณ์ดิจิตอลอื่น ๆ ไปเสียสิ้น
โดยตัวเลขที่มาจากบริษัทวิจัยตลาดอย่าง Slice Intelligence ระบุว่า ยอดขายของแอปเปิลวอตช์ในตอนนี้สูงกว่ายอดขายแอนดรอยด์แวร์ที่ขายได้ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาไปแล้ว โดยพบว่าในปี ค.ศ. 2014 นั้น กลุ่มแอนดรอยด์แวร์สามารถขายได้ประมาณ 720,000 ชิ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า แอปเปิลสามารถขายแอปเปิลวอตช์ได้มากกว่า 957,000 เรือนแล้วในขณะนี้ (แอปเปิลยังไม่มีเปิดเผยตัวเลขการจำหน่ายแอปเปิลวอตช์แก่สาธารณะ)
อย่างไรก็ดี ในวันที่แอปเปิลวอตช์ครอบครองพื้นที่สื่อจำนวนมากเอาไว้ได้นั้น ข้อมูลของฝั่งแอนดรอยด์แวร์ก็มักถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบกันเสมอ ซึ่งทาง Business Insider ได้มองหาข้อดีของแอนดรอยด์แวร์ที่หาไม่ได้จากแอปเปิลวอตช์มานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ส่วนข้อดีเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง ลองติดตามกันได้เลย
1. แอนดรอยด์แวร์มีความหลากหลายมากกว่า
หากผู้ที่มองหานาฬิกาอัจฉริยะมาสวมเป็นคนชอบความแตกต่าง การเลือกแอนดรอยด์แวร์น่าจะทำให้เขาเหล่านั้นมีตัวเลือกมากขึ้น เนื่องจากมีผู้ผลิตจำนวนมากในตลาดดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นโมโตโรลา (Motorola) แอลจี (LG) หัวเว่ย (Huawei) ซัมซุง (Samsung) และโซนี่ (Sony) ซึ่งเมื่อมีผู้ผลิตจากหลายค่าย นาฬิกาจึงมีการออกแบบที่แตกต่างให้เลือกได้ตามความชอบใจนั่นเอง
2. มีหน้าปัดทรงกลมให้เลือก
ในแง่ของการออกแบบหน้าปัดนาฬิกาก็เช่นกัน เนื่องจากแอปเปิลวอตช์มีตัวเลือกเพียงแบบเดียวคือหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยม ทำให้คนที่ชื่นชอบนาฬิกาหน้าปัดทรงกลมอาจรู้สึกไม่ถูกใจกับตัวเลือกที่มีมาให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถกลับไปมองหาได้จากนาฬิกาอัจฉริยะของกลุ่มแอนดรอยด์ เช่น นาฬิกาอัจฉริยะของค่ายโมโตโรล่า Moto 360 หรือ LG G Watch R นั่นเอง
3. อิสระในการเลือกสายรัดข้อมือที่มากกว่า
หากซื้อแอปเปิลวอตช์ อย่างไรเสีย ผู้บริโภคก็ต้องเลือกสายรัดข้อมือตามประเภทที่ทางบริษัทกำหนดมาให้ แต่นาฬิกาในกลุ่มแอนดรอยด์กลับให้อิสระแก่ผู้บริโภคในการเลือกสายรัดข้อมือได้มากกว่า เพราะผู้ผลิตแอนดรอยด์แวร์ส่วนมากใช้สายรัดข้อมือขนาดมาตรฐานที่หน้ากว้าง 22 มิลลิเมตร นั่นทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกเปลี่ยนสายรัดข้อมือได้ตรงตามสไตล์ของตนเอง
4. ข้อมูลจากแอนดรอยด์แวร์ก็เจ๋งไม่แพ้กัน
ผู้สื่อข่าวสายเทคโนโลยีส่วนใหญ่ต่างพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จุดอ่อนของแอปเปิลวอตช์คือเรื่อง “แอป” ซึ่งเมื่อหันมามองทางแอนดรอยด์แวร์ ต้องยกประโยชน์ให้กูเกิลที่สามารถจัดหาข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้แอนดรอยด์แวร์มาแสดงได้ ซึ่งนั่นอาจช่วยให้ผู้สวมใช้ชีวิตได้สะดวกง่ายดายมากขึ้น ข้อมูลต่าง ๆ ที่สามารถแสดงบนหน้าปัดนาฬิกาแอนดรอยด์ เช่น ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลไฟล์ทการเดินทาง ข้อมูลการประชุม ข้อมูลของศิลปินที่ผู้สวมชื่นชอบ (รวมถึงกรณีที่ศิลปินคนดังกล่าวเดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในเมืองที่ผู้สวมอยู่ ก็สามารถแจ้งให้ผู้สวมทราบได้ อีกทั้งยังแจ้งข้อมูลสถานที่ในการซื้อตั๋วให้ทราบได้ด้วย
5. แบตเตอรี่ของกลุ่มแอนดรอยด์แวร์อยู่ได้นานกว่า
จากข้อมูลของ Business Insider ระบุว่า แบตเตอรี่ของแอปเปิลวอตช์นั้นใช้งานได้นานราว 18 ชั่วโมง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับนาฬิกาอัจฉริยะ Moto 360 แล้วจะพบว่าอยู่ได้นานถึง 24 ชั่วโมง ขณะที่นาฬิกาของโซนี่นั้นอ้างว่าอยู่ได้นานถึงสองวันต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเลยทีเดียว นอกจากนั้น นาฬิกาในกลุ่มแอนดรอยด์บางรุ่นยังรองรับการชาร์จไฟแบบไร้สายได้ด้วย ซึ่งแอปเปิลวอตช์ไม่สามารถทำได้
6. ราคาถูกกว่า
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีงบประมาณเหลือเฟือสำหรับใช้จ่ายให้กับสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี และราคาของแอปเปิลวอตช์หนึ่งเรือนอย่างต่ำก็อยู่ที่ 349 เหรียญสหรัฐแล้ว ซึ่งในราคาเท่านี้ คุณอาจสามารถหาซื้อนาฬิกาอัจฉริยะของฝั่งแอนดรอยด์มาใช้ได้ถึงสองเรือน เรียกว่าใช้เองแล้วยังแบ่งอีกเรือนให้แฟน หรือพี่น้องได้ด้วย
7. มี “Google Now”
ไมโครซอฟท์มี Cortana แอปเปิลมี Siri กูเกิลก็มี Google Now ซึ่งตัวช่วยอัจฉริยะเหล่านี้ได้เคยถูกทดสอบในแง่ของความสามารถในการตอบคำถามโดย Readwrite.com และพบว่า Google Now สามารถเอาชนะ Siri และ Cortana ไปได้อย่างขาดลอย ด้วยเปอร์เซ็นต์การตอบคำถามได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ส่วน Siri ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยคะแนน 53 เปอร์เซ็นต์ และ Cortana ตามมาเป็นอันดับสามกับคะแนน 40 เปอร์เซ็นต์ โดยจะเห็นว่า Siri กับ Cortana นั้นตาม Google Now ไม่ทันในจุดนี้
นอกจากนั้น ระบบการจดจำเสียงเพื่อปลดล็อกสมาร์ทโฟนของ Google Now ก็ยังมีความแม่นยำสูง หรือแม้กระทั่งการถามคำถาม ระบบยังสามารถแยกแยะได้ว่า ศัพท์คำที่ผู้ใช้ถามนั้นเป็นคำศัพท์ในภาษาอะไร และสามารถค้นหาความหมายของคำ ๆ นั้นมาให้ได้ด้วย
8. กูเกิลอาจซัพพอร์ตไอโฟน
มีความเป็นไปได้ว่า กูเกิลจะพัฒนาระบบซัพพอร์ตไอโฟนลงในซอฟต์แวร์ของแอนดรอยด์แวร์ ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้มาจากรายงานของ Dieter Bohn ผู้สื่อข่าวของ The Verge ที่ได้โพสต์ภาพถ่ายแสดงให้เห็นว่า นาฬิกา LG Watch R ของแพลตฟอร์มแอนดรอยด์สามารถรับการแจ้งเตือนจาก FaceTime ได้นั่นเอง
และหากทำได้จริง นี่อาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ผลิตแอนดรอยด์แวร์อย่างมาก เพราะทำให้นาฬิกาของพวกเขาสามารถแข่งขันได้กับแอปเปิลวอตช์นั่นเอง
อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่าแม้ว่ากูเกิลจะพัฒนาซอฟต์แวร์ดังกล่าวได้สำเร็จ แต่ถ้าแอปเปิลไม่เปิดทางให้มันเข้าไปอยู่ใน App Store ก็เท่ากับปิดประตูความหวังนี้ไปโดยปริยายอยู่ดี
ดังนั้น หากคุณพบว่าตนเองไม่ได้สนใจเรื่องของรายละเอียดของตัวนาฬิกา หรือเทคโนโลยี Force Touch ที่สามารถจับการสัมผัสที่แตกต่าง (การกดหนัก-เบา) เหล่านี้แล้วล่ะก็ การมองแอนดรอยด์แวร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมก็คงไม่ใช่เรื่องผิด
ที่สำคัญ บรรดาผู้สื่อข่าวสายเทคโนโลยีของสื่อตะวันตกสำนักต่าง ๆ ที่ออกโรงยกย่องแอปเปิลวอตช์ว่าเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่ดีที่สุดในขณะนี้ ก็มีน้อยรายที่ยอมรับว่าจะซื้อแอปเปิลวอตช์รุ่นแรกนี้ด้วย โดยให้เหตุผลว่า สินค้ารุ่นที่สอง หรือสามของแอปเปิล น่าจะมีคุณภาพที่ดีกว่านั่นเอง