เป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนอีกครั้งของกลุ่มทรูว่า “ทรูวิชั่นส์” จะไม่ได้หยุดอยู่แค่ธุรกิจสื่อโทรทัศน์อีกต่อไป จากเดิมที่มีระบบทีวีแบบบอกรับสมาชิก หรือ เพย์ทีวี และล่าสุดกับช่องทีวีดิจิตอล “ทรูโฟร์ยู” แต่จะขยายไปครอบคลุมคำว่า “มีเดีย เอ็นเตอร์เทนเมนต์” มากขึ้น และไม่จำกัดว่าคอนเทนต์นั้นจะอยู่ในจอทีวีอีกต่อไป
นั่นหมายความว่า ยุทธศาสตร์ที่ทรูวิชั่นส์จะดำเนินต่อจากนี้คือการต่อยอดนำคอนเทนต์ออกมาจากจอสู่การทำ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ อีเว้นท์” หรือภาษาในวงการว่า “โชว์บิซ” ครอบคลุมทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจัดอีเว้นท์ ทัวร์คอนเสิร์ต จัดแสดงโชว์ หรือจัดการแข่งขันกีฬา พร้อมทั้งให้บริษัทลูก “บริษัท แพนเทอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด” (เดิมคือทรูแฟนเทเชีย) บริษัทในเครือทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป เป็นผู้จัดโชว์ และอีเว้นท์ต่างๆ
ถ้าพูดถึงภาพรวมของตลาดโชว์บิซที่ทรูกำลังลงมาเล่นอยู่นั่น เรียกว่าหอมหวานเลยทีเดียว ด้วยมูลค่าตลาดรวม 20,000 ล้านบาท โดยจะแบ่งเป็น 3 เซ็กเมนต์ด้วยกันคือ 1.มิวสิค ก็คือการจัดคอนเสิร์ตต่างๆ ทั้งศิลปินในประเทศ และต่างประเทศ 2.สปอร์ต คือการประมูล หรือการจัดทัวร์นาเม้นการแข่งขันกีฬา และ 3.แฟมิลี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คือการแสดงโชว์ต่างๆ ซึ่งเซ็กเมนต์ของมิวสิคเป็นเซ็กเม็นต์ที่ใหญ่ที่สุด กินสัดส่วนไป 50% ส่วนสปอร์ต และแฟมิลี่ฯ มีสัดส่วนเท่าๆ กัน
พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าสายงานการพาณิชย์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “เราลงมาในตลาดโชว์บิซ หรือมาทำอีเวนท์ไม่นานนี้เอง ต้องบอกว่าสิ่งแวดล้อม และสถานการณ์เปลี่ยนไป แต่ก่อนที่เราโฟกัสในเรื่องของสื่อโทรทัศน์อย่างเดียว เพราะตอนนั้นโอกาสเติบโตสูงมาก และตอนนี้ทรูก็มีอาวุธครบมือทั้งทีวี อินเตอร์เน็ต และโมบายล์ การนำคอนเทนต์ออกมาสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็เป็นอีกกลยุทธ์ของเรา”
ในครึ่งปีแรกทรูของประเดิมด้วย 3 อีเว้นท์ ครอบคลุมทั้ง 3 เซ็กเมนต์ด้วยกัน ได้แก่ คอนเสิร์ต AF รียูเนียน (ลูกสุดที่รักของทรู), เซิร์ค ดู โซเลย์ โชว์ระดับโลก และไฮไลท์สำคัญคือการคว้าทีมหงส์แดง “ลิเวอร์พูล” มาดวลแข้งในเมืองไทย ที่ทรูเองได้ลงทุนไปประมูลแข่งกับเจ้าอื่นในประเทศต่างๆ เพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในตาราง “เอเชีย ทัวร์” ของหงส์แดง และได้เผยถึงความภาคภูมิใจว่ามีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่ได้สิทธิ์ นั่นคือ ไทย, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ด้วยงบลงทุน 100 ล้านบาท ภายใต้แคมเปญ “ทรู ซูปเปอร์ โทรฟี่ – ลิเวอร์พูล ทัวร์ 2015”
สาเหตุที่ทรูได้เลือกทีมลิเวอร์พูลเข้ามาเป็นบิ๊ก อีเว้นท์ในไทยนั้น พีรธนได้ให้เหตุผลว่า “ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 123 ปี และมีแฟนๆ ในไทยหลายสิบล้านคน จากการที่ลิเวอร์พูลเคยมาเมืองไทย ผลตอบรับก็ดีตลอด และพฤติกรรมของแฟนคลับจะมีความเหนียวแน่นกับสโมสรมาก รักสโมสรมากกว่าตัวนักกีฬาที่เป็นสตาร์เด่นดัง แม้ทีมจะมีสถิติไม่ค่อยดี ก็จะเอาใจช่วยตลอด”
แต่สิ่งที่ซ้อนเร้นภายใต้อีเว้นท์ของลิเวอร์พูลก็คือการรุก “สปอร์ต อีเว้นท์” หรือ สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ที่แม้ว่าในประเทศไทยในกลุ่มของมิวสิคจะกินเป็นตลาดใหญ่อยู่ เพราะสามารถเข้าถึงคนได้ทุกพื้นที่ แต่ถ้าดูตลาดโลกแล้ว สปอร์ต อีเวนท์เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีทัวร์นาเม้นท์การแข่งขันกีฬาทุกประเภท และแข่งทุกสัปดาห์ ฟุตบอลโลกก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน เพียงแต่ในประเทศไทยยังไม่มีอีเว้นท์ทางด้านกีฬาเยอะมากนัก จึงเป็นโอกาสที่ทรูจะเข้ามาตีตลาดตรงจุดนี้
“เรามาโฟกัสทางด้านกีฬาเพิ่มมากขึ้น ทั้งในการทำอีเว้นท์ และคอนเทนต์ของทรูวิชั่นส์ เพราะเราได้ศึกษาถึงหลายๆ ประเทศที่เจริญจะมีการลงทุนทางด้านกีฬาเยอะ กีฬากลายเป็นเครื่องมือชี้วัดที่ดีอันหนึ่งเลย อย่างประเทศสิงคโปร์จะมีการจัดการแข่งขันกีฬาทัวร์นาเมนท์ใหญ่ๆ ทั้งสิ้น ทรูก็พยายามเข้าไปกระตุ้นตลาดตรงนั้นให้คนไทยได้เข้าถึงมากขึ้น และจะทวงบัลลังก์ความเป็น King of Sports ที่มีทั้งคอนเทนต์ และอีเว้นต์”
อีกหนึ่งความสำคัญของลิเวอร์พูล ทัวร์ครั้งนี้ ก็คือการ “ผนึกกำลัง” ทรูได้ใช้คอนเทนต์ของ “ไทยพรีเมียร์ลีค” ที่ทรูได้ลิขสิทธิ์ในปีนี้ด้วยการนำนักเตะ “ทรู ออลสตาร์” มาดวลแข้งกับลิเวอร์พูล รวมทั้งทางด้านช่องทางการขายที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา “ไทยทิกเก็ตเมเจอร์” เพราะทรูได้ใช้ช่องทางจัดจำหน่ายที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ออลทิกเก็ต และร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่เป็นเครือข่ายของทรูอยู่แล้ว แมทช์พิเศษนี้มีการเตะวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เวลา 20.00 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน บัตรราคา 500-5,000 บาท
ส่วนเป้าหมายในครึ่งปีหลังสำหรัธุรกิจโชว์บิซ ทรูได้เตรียมไว้อีก 3 อีเว้นท์แล้ว ด้วยงบลงทุนทั้งปี 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทเติบโต 25-30%