ด้วยความที่ “สิงห์ เอสเตท” เป็นบริษัทน้องใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เพิ่งแจ้งเกิดได้ราว 1 ปีเท่านั้น หลังจากที่ได้เทคโอเวอร์ “บมจ. รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์” ที่มีมูลค่ากว่า 8 พันล้านบาท ถือว่าเป็นใบเบิกทางได้เข้าสู่วงการอย่างเต็มตัว และได้เข้าตลาดหลักทรัพย์โดยปริยาย
ทำให้สิงห์ เอสเตทเองต้องติดสปีดในเรื่องการลงทุน ยังคงเน้นยุทธ์ศาสตร์การ “ซื้อและควบรวมกิจการ” หรือ Mergers and Acquisitions (M&A) เพื่อเป็นทางลัดในการมีอสังหาฯ อยู่ในมือ การลงทุนเป็นทั้งในรูปแบบการซื้อกิจการ หรือเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทที่มีศักยภาพ
ในปีนี้สิงห์ เอสเตทได้เตรียมงบสำหรับลงทุนราว 20,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกได้ทำการปิดการขายไปแล้ว 2 ดีล ได้แก่ โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ได้ทำการซื้อกิจการจากกองทุนรวม MFC และทำการปรับปรุงตกแต่งเพิ่มตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน
และอีกหนึ่งรายการเป็นระดับบิ๊กดีล ที่สิงห์ เอสเตทได้ทำการสวอปหุ้นกับ “เนอวานา” โครงการบ้านที่อยู่อาศัยในแนวราบ โดยที่สิงห์ เอสเตทได้เข้าถือหุ้นในเนอวานาจำนวน 51% ส่วนผู้ถือหุ้นของเนอวานา จะเข้ามาถือหุ้นในสิงห์ เอสเตทจำนวน 3.8%
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีแรกเราจะเน้นหนักที่การ M&A เพราะมองว่าการที่จะลงทุนเองยังไม่คุ้ม เพราะแต่ละโครงการอาจจะต้องใช้ระยะเวลาเสร็จสมบูรณ์ราว 2 ปี การที่เราหาพันธมิตร หรือการซื้อกิจการทำให้เราก้าวเร็วขึ้น ไม่ต้องเสี่ยงในการลงทุนใหม่ แต่เราก็ยังคงเน้นอสังหาทุกรูปแบบ แต่ต้องอยู่ในเซ็กเมนต์ระดับบน เพราะถึงแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบ แต่ก็ไม่ได้กระทบกับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อมากนัก
นอกจากนั้น นริศยังได้เปรียบเปรยสถานการณ์ของสิงห์ เอสเตทตอนนี้ว่า เหมือนการ “วิ่ง 100 เมตร” เหนื่อยในช่วงแรก แต่ท้าทาย เพราะต้องเริ่มจากศูนย์ แต่ด้วยแบรนด์ “สิงห์” ยังคงได้แต้มต่ออยู่ ทำให้หลายคนเชื่อมั่น แม้ในเรื่องอสังหาฯ ชื่อ สิงห์ เอสเตทอาจจะต้องทำงานหนักอีกสักพัก
ในช่วงครึ่งปีหลังสิงห์ เอสเตทได้เตรียมปิดการขายอีกจำนวน 3 ดีล โดยได้เปิดเผยดีลล่าสุดแล้วคือ เข้าลงทุนในโครงการอาคารสำนักงาน “ซันทาวเวอร์ส” เนื้อที่เกือบ 6 ไร่ บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาโดยให้บริษัท แม็กซ์ ฟิวเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ สิงห์ เอสเตท ได้เข้าทำสัญญาเพื่อรับโอนกิจการทั้งหมดของซันทาวเวอร์ส เมื่อวันที่ 22 กรกฏาคม 2558 ที่ผ่านมา
อีก 2 ดีลยังอยู่ในช่วงกำลังเจรจา เป็นโรงแรมในแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวภาคใต้ มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวม 7,000-8,000 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยที่สิงห์ เอสเตทได้พัฒนาใหม่ขึ้นมาเอง เตรียมผุดคอนโดมีเนียมย่ายอโศก สูง 55 ชั้น 420 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท คาดจะเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2559 และบิ๊กโปรเจ็คต์อย่าง “สิงห์ คอมเพล็ก” ก็เตรียมก่อสร้างในช่วงปลยปีนี้ คาดการณ์ว่าเสร็จภายในปี 2560
สำหรับแผนธุรกิจของสิงห์ เอสเตทในปี 2559 ยังคงเน้นที่การ M&A อยู่ คาดจะมีการเจรจาซื้อขายอีกราว 6-7 ดีล ด้วยงบลงทุน 20,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีแผนเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่อีก 4 โครงการ เป็นโครงการที่สร้างขึ้นเอง มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการคอนโดมีเนียม 3 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยวอีก 1 โครงการ (ย่านถ.ประดิษฐ์มนูธรรม หรือเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา)
แต่ธุรกิจ “รีเทล” นริศได้เปิดเผยเลยว่ายังไม่ทำในตอนนี้ ถ้าจะทำก็คงต้องอาศัยการ M&A อีกอยู่ดี มองว่าทำเองไม่คุ้ม ในอนาคตอาจจะมีโครงการรีเทลขึ้นมาก็ได้ แต่จะเน้นโครงการเล็กๆ เป็นคอมมูนิตี้ มอลล์ หรือเป็นโครงการมิกซ์ยูสไปเลย
ในไตรมาสแรกของปี 2558 สิงห์ เอสเตทมีรายได้รวม 300 ล้านบาท และทรัพย์สินรวม 10,000 ล้านบาท ตั้งเป้าสิ้นปีจะมีรายได้ 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีรายได้จากโรงแรมสันติบุรี และโรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ รวมไปถึงจากโครงการจากรสาที่ยังขายไม่หมด และรับรู้รายได้ของเนอวานาด้วย