จากวิสัยทัศน์ของ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” ที่ต้องการเพิ่มรายได้ในส่วนของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮลล์เป็น 50% ภายในปี 2020 หรือ 2563 จากที่ในปัจจุบันในส่วนของเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ยังเป็นรายได้หลักของบริษัทอยู่ ที่กินสัดส่วน 70-80% ทำให้สิงห์เองต้องรีบปั๊มพอร์ทสินค้าเพื่อมาเติมเต็มในกลุ่มนี้มากขึ้น
เมื่อปี 2557 ที่ผ่านมาสิงห์เองก็ได้จัดโครงสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อให้ง่ายต่อการวางกลยุทธ์ โดยแบ่งธุรกิจหลักออกเป็น 5 ธุรกิจด้วยกัน ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์, สินค้าไม่มีแอลกอฮอลล์, อสังหาริมทัพย์, บรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์
แต่แล้วช่วงปลายปีสิงห์ก็ได้ปรับกลุ่มใหม่ โดยดันกลุ่มสินค้าไม่มีแอลกอฮอลล์ปรับเปลี่ยนเป็นกลุ่ม “อาหาร และเครื่องดื่ม” หรือ Food & Beverage (F&B) เพราะต้องต้องฉายภาพให้ชัดขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากคำว่าสินค้าไม่มีแอลกอฮอลล์ทำให้ผู้บริโภคนึกถึงสินค้าแค่กลุ่มเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว อย่างน้ำดื่ม โซดา ซันโว และบีอิ้ง
ในขณะที่สิงห์เองก็พยายามปั้นไลน์สินค้าอื่นอย่างอาหาร และขนมขบเคี้ยวขึ้นมาเพิ่ม โดยที่สิงห์มองว่ากลุ่มขนมจะกลายเป็นกำลังสำคัญของกลุ่มในอนาคตต่อไป ซึ่งมีการบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะใช้กลยุทธ์ในการหาพาร์ทเนอร์ในการออกสินค้าใหม่ๆ ขึ้นมา
ปัจจุบันรายได้จากกลุ่มขนมคิดเป็น 20% และเครื่องดื่ม 80% ในกลุ่มขนมตอนนี้มีการทำตลาดอยู่ด้วยกัน 3 แบรนด์ ก็คือ มาชิตะ (ทำตลาดมา 5 ปี), Max Snax (ทำตลาดเมื่อต้นปี 2558) และล่าสุดกับแบรนด์ Yuki (ยูกิ) รุกตลาดขนมข้าวอบกรอบ ที่ได้จับมือกับพาร์ทเนอร์บริษัท ซังโกะ เซกะ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนม Sambe อบกรอบจากประเทศญี่ปุ่น พร้อมเปิดบริษัท สิงห์-ซางโกะ จำกัด ในลักษณะการร่วมทุนที่มีการถือหุ้น 50 : 50
ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการ กลุ่มการตลาดธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม เล่าว่า “เรามองว่าต่อไปขนมจะเป็นสินค้าที่สำคัญของตลาด F&B ของสิงห์ เพราอย่างไหร่แล้วคนไทยก็ยังต้องกินต้องดื่มอยู่ทุกวัน แม้ในปีที่ผ่านมาตลาดขนมจะไม่เติบโต เพราะผู้เล่นในตลาดไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวเท่าไหร่ แต่เราจะเข้ามาทำตลาดให้โต ล่าสุดเราได้บุกตลาดขนมข้าวอบกรอบเพราะมองว่าประเทศไทยมีผลผลิตข้าวอยู่แล้ว และในตลาดยังไม่มีเจ้าไหนที่ใช้ Know How จากผู้เชี่ยวชาญด้านขนมจากประเทศญี่ปุ่นแบบจริงจังด้วย”
จากตลาดขนมข้าวอบกรอบมูลค่า 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3% ของตลาดรวมขนมขบเคี้ยวในปี 2557 ที่มีมูลค่า 29,000 ล้านบาท ถือว่ายังเป้นสัดส่วนที่น้อยมาก และไม่ค่อยมีการเติบโต เพราะเจ้าตลาดอย่างโดโซะที่คอรงตลาดไป 80% ไม่ค่อยได้ทำการตลาดอะไรมากนัก
สิงห์ต้องการใช้ช่องว่างด้วยการพรีเซ้นต์ความเป็นญี่ปุ่นให้แก่ผู้บริโภค พร้อมตั้งเป้ารายได้ในปีแรก 300 ล้านบาท และครองส่วนแบ่งตลาด 30% โดยที่ใน 5 ปี ตั้งเป้ารายได้เป็น 1,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาด 50%
ซึ่งในปีนี้สัดส่วนรายได้ของสิงห์จะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ 70% และนอน-แอลกอฮอลล์ (ทั้ง 4 กลุ่มรวมกัน) 30% โดยที่กลุ่ม F&B มีรายได้สัดส่วน 50% ของกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์ และมีการตั้งเป้าการเติบโตของกลุ่ม F&B จำนวน 10%