นิคอน กระโดดเข้าสู่ตลาดแอ็กชัน แคม (Action Camera) เต็มตัว หลังโชว์ตัว Nikon KeyMission 360 บนเวทีระดับโลก CES 2016 ร่วมกับกล้องถ่ายภาพฟูลเฟรมรุ่นใหม่อย่าง Nikon D5 และซอฟต์แวร์ในการโอนถ่ายภาพจากกล้องไปยังดีไวซ์อื่นผ่านบลูทูธ “สแนปบริดจ์” พร้อมเลนส์ใหม่ Nikkor 18-55 และแฟลช Speedlight SB5000
มร.ฮิโรชิ โอเซกิ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท นิคอน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กล้องแอ็กชัน KeyMission 360 ล่าสุดนี้ นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหม่ในเทคโนโลยีที่สานต่อมาจากความชำนาญของนิคอนในด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพ สู่ทิศทางใหม่ของนวัตกรรมที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานกล้องทั้งหลายได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในครั้งนี้เราไม่เพียงแต่ขยายหมวดผลิตภัณฑ์ของเราเท่านั้น แต่เรายังขยายโอกาสใหม่ในการบันทึกการเดินทาง และประสบการณ์ตื่นเต้นให้แก่ผู้ใช้นิคอนอีกด้วย
โดยความสามารถหลักของ Nikon KeyMission 360 เป็นกล้องแอ็กชัน ที่มาพร้อมความสามารถในการบันทึกวิดีโอได้แบบ 360 องศา ในฟอร์แมต 4K UHD ด้วยการเชื่อมต่อเซ็นเซอร์รับภาพ และเลนส์ที่มีอยู่ทั้ง 2 ด้านตรงข้ามกัน แล้วนำภาพที่บันทึกได้มารวมกันโดย หน่วยประมวลผลในตัวของกล้องมาพร้อมความสามารถในการกันน้ำได้ลึกถึง 30 เมตร ทั้งยังกันฝุ่น ทนแรงกระแทก และอากาศอันหนาวเย็นได้อย่างดีเยี่ยม
ทั้งนี้ กล้อง KeyMission 360 ซึ่งเป็นกล้องแอ็กชันตัวแรกของนิคอน จะเริ่มเปิดจำหน่ายภายในปี 2559 พร้อมอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้งานร่วมกันโดยเฉพาะกับกล้องรุ่นนี้ โดยคาดว่าจะได้เห็นวางจำหน่ายในประเทศไทยภายในไตรมาส 1 ปี 2559 นี้
ในกลุ่มกล้องสำหรับมืออาชีพ ก็ได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่าง Nikon D5 ซึ่งเป็นกล้องฟอร์แมต FX ล่าสุดของทางนิคอน ที่เน้นพัฒนาในส่วนของความสามารถในการบันทึกภาพวัตถุเคลื่อนที่ และคุณภาพของผลงานที่น่าประทับใจเมื่อถ่ายภาพด้วยค่าความไวแสงสูง เพื่อรองรับต่อการบันทึกภาพในทุกโอกาสไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร
โดย Nikon D5 มีจุดเด่นอยู่ที่ระบบออโต้โฟกัสใหม่แบบ 153 จุด และช่องมองภาพที่แสดงภาพได้คงที่มากขึ้น แม้จะถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงถึงประมาณ 12 เฟรมต่อวินาที ผสานกับการทำงานของเซ็นเซอร์รับภาพ CMOS ฟอร์แมต FX ระบบประมวลผลภาพ EXPEED 5 ทำให้สามารถบันทึกภาพด้วยค่าความไว ISO สูงถึง ISO 102400 และความสามารถในการบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบ 4K UHD (3840 × 2160)
ส่วนความละเอียดภาพจะอยู่ที่ 20.8 ล้านพิกเซล หน้าจอทัชสกรีน LCD ความละเอียดสูงขนาด 3.2 นิ้ว การเชื่อมต่อที่รวดเร็วทั้งแบบใช้สาย LAN ผ่านทางช่องต่ออีเทอร์เน็ตที่มีในตัวเครื่อง และแบบไร้สายผ่านระบบเครือข่ายไร้สาย พร้อมช่องใส่เมมโมรีการ์ดถึง 2 ช่อ ช่วยให้การทำงานราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ ทางนิคอน ยังได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ สแนปบริดจ์ (SnapBridge) ที่ใช้การเชื่อมต่อบลูทูธระหว่างกล้อง และสมาร์ทโฟนในการส่งต่อภาพถ่ายไปเก็บไว้บนระบบคลาวด์เพื่อให้ช่างภาพสามารถเรียกใช้งานผ่านออนไลน์ได้ทันที ทุกที่ และทุกเวลา โดยจะกลายเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของกล้องที่วางจำหน่ายในปี 2559
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เต็มประสิทธิภาพแม้ขณะปิดกล้องไว้ ผู้ใช้สามารถเลือกส่งภาพได้ 2 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ ขนาด 2 ล้านพิกเซล (ระดับ Full HD) ในฟอร์แมต JPEG หรือเลือกส่งไฟล์ภาพ JPEG ต้นฉบับที่บันทึกได้ด้วยเช่นกัน และสามารถจับคู่กล้องกับดีไวซ์ได้สูงสุด 5 เครื่อง แต่ส่งต่อข้อมูลได้ทีละ 1 เครื่อง
ขณะที่ Nikon Speedlight SB-5000 มาพร้อมกับฟังก์ชัน Advanced Wireless Lighting ที่ควบคุมแฟลชด้วยคลื่นวิทยุ และระบบลดความร้อนที่ช่วยให้สามารถยิงแฟลชได้ต่อเนื่องเต็มที่กว่า 100 ครั้ง และฟังก์ชันให้เลือกใช้งานมากมายบนแผงตัวเลือกทรงกลม และปุ่ม ‘OK’ พร้อมปุ่ม ‘i’ ที่ช่วยให้ลัดเข้าถึงฟังก์ชันที่ใช้งานบ่อยๆ ได้ทันที
รวมถึงฟังก์ชัน power zoom ช่วยให้ปรับตำแหน่งหัวซูมได้อัตโนมัติเพื่อให้สัมพันธ์กับทางยาวโฟกัสของเลนส์ รองรับทั้งฟอร์แมต FX และ DX นอกจากนั้น การออกแบบแฟลชให้มีขนาดเล็กลง และทรงประสิทธิภาพนี้ยังได้รับการเสริมสมรรถนะด้วยความสามารถในการปรับหัวแฟลชให้ก้มลงได้ 7° และปรับเงยขึ้นได้ 90° และปรับหมุนได้รอบถึง 180° ไปทางซ้ายและขวา
สุดท้ายเลนส์ NIKKOR AF-P DX NIKKOR 18-55mm f/3.5-5.6G VR และ AF-P DX NIKKOR 18-55mm f/3.5-5.6G มาช่วยเสริมการทำงานของระบบออโต้โฟกัส และถือเป็นการเปิดตัวเลนส์ AF-P รุ่นแรกสำหรับกล้อง DLSR ของนิคอน โดยเน้นไปที่ขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก เหมาะต่อการนำติดตัวไปด้วยในยามเดินทาง ประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าสัมภาระจากกระบอกเลนส์แบบยืดหดได้