ซีนิคอล เวิลด์ ทุ่มพันล้านปั้นสวนน้ำ ดึงนักท่องเทียว 2 ล้านราย เช็กอินเขาใหญ่

เขาใหญ่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของคนไทยในการไปพักผ่อนทั้งช่วงเทศกาล และช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปเขาใหญ่ราว 2-2.5 ล้านคน เพราะด้วยระยะทางไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เป็นที่นิยมมายาวนาน
 
แต่ด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่ชูดชุดเด่นเรื่องความสงบ อากาศดี ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มครอบครัวที่เน้นไปทางกลุ่มผู้ใหญ่มากกว่า แม้ว่าในช่วงหลังจะมี “ปาลิโอ เขาใหญ่” ทีเป็นเหมือนคอมมูนิตี้มอลล์เพิ่มขึ้นมาสร้างสีสัน แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็น “เดสติเนชั่น” ที่จะต้องมาแวะขนาดนั้น
 
ที่สำคัญทำเล และภูมิอากาศของเขาใหญ่ก็เป็นข้อจำกัดที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไปเที่ยวได้แค่เฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น เพราะมีอากาศเย็น ในช่วงฤดูอื่นคนก็มองหาสถานที่ท่องเที่ยวอื่นกันหมด
 
จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่สำคัญที่ทำให้ “ซีนิคอล กรุ๊ป” ต้องลุกขึ้นมาปั้นเดสติเนชั่นแห่งใหม่ให้เขาใหญ่ เพื่อให้เขาใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูกาล เปิดตัวโครงการ “ซีนิคอล เวิลด์” ที่รวมสวนน้ำ “สแปลช เวิลด์” สวนสนุกกลางแจ้ง “ไลฟ์ พาร์ค” บนพื้นที่ 79 ไร่ งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท รวมทั้งมีกรีนเนอรี่ พาร์ค มอลล์ ไลฟ์สไตล์มอลล์ ที่มีร้านค้าเอาต์เล็ตแฟชั่น และร้านอาหาร หมายมั่นปั้นมือให้คนกว่า 2 ล้านคนที่มาเที่ยวเขาใหญ่มาเช็กอินที่นี่ให้ได้
 
 
ก่อนหน้านี้ซีนิคอล กรุ๊ป อยู่ในวงการอสังหาฯ ในเขาใหญ่มาอยู่แล้ว บริหารโรงแรมบนเขาใหญ่มาร่วม 10 ปี ทั้ง “เดอะ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่” และ ”โบทานิก้า เขาใหญ่” โดยที่ทั้งสวนสนุก สวนน้ำ และโรงแรมก็อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ถือว่าเป็นผลพลอยได้ทางอ้อมในการ Synergy ธุรกิจในเครือเข้าด้วยกัน
 
เฐาศิริษ ศิวาคม กรรมการผู้จัดการ ซีนิคอล กรุ๊ป เล่าให้ฟังว่า “เราทำธุรกิจตรงนี้มากว่า 10 ปี เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเขาใหญ่มีแต่คนมาเที่ยวในช่วงหน้าหนาว ส่วนหน้าร้อนคนก็ไปทะเลกัน เพราะคนไทยถูกจริตกับทะเลมากกว่าเขา การมีสวนน้ำเข้ามาเหมือนเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ได้ ทำให้คนเที่ยวเขาใหญ่ได้ทั้งปีไม่ใช่แค่หน้าหนาว สามารถดักลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อที่จะไปเที่ยวพัทยา หัวหินได้ แต่เราก็มีทั้งสวนสนุกและสวนน้ำเพื่อบาลานซ์กันเวลาหน้าหนาวคนก็เล่นสวนสนุกอย่างเดียวก็ได้
 
รวมไปถึงโจทย์หลักที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า “วัยรุ่น” ให้มากขึ้น เฐาศิริษกล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาเขาใหญ่ไม่มีแม็คเน็ตอะไรใหม่ๆ เลย ขายแค่เรื่องธรรมชาติ โอโซน อากาศดี เป็นเรื่องเดิมๆ กลุ่มลูกค้าที่มาก็จะเป็นแค่กลุ่มผู้ใหญ่ และกลุ่มที่มาสัมมนาเท่านั้น กลุ่มวัยรุ่นก็เลือกที่จะไปที่อื่นเพราะไม่มีคอนเทนต์ที่ถูกใจ จึงต้องมีโปรดักต์ใหม่ที่ตอบโจทย์สร้างสีสันให้เขา ตั้งเป้าว่าเมื่อมีซีนิคอล เวิลด์เข้ามาจะสามารถเพิ่มลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นได้ 30-40%
 
 
“สวนน้ำ”แข่งกันที่ไหน ?
 
ตลาดสวนน้ำในตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะมีครบทุกแหล่งท่องเที่ยวแล้วก็ว่าได้ ยิ่งที่พัทยา และหัวหินยิ่งมีหลายแห่งให้เลือก แต่ในอนาคตอาจจะมีเพียงไม่กี่รายที่อยู่รอดก็ได้ ต้องมีสิ่งที่ดึงดูดเพื่อนให้ลูกค้ากลับมาใช้ซ้ำ
 
“ตลาดสวนน้ำในวันข้างหน้า อาจจะช่วง 3-4 ปี มองว่าจะกลายเป็นเหมือนสนามกอล์ฟ เพราะในเมืองไทยธุรกิจไหนที่เกิดก็จะมีคนทำตามๆ กัน มีเกิดขึ้นเยอะ ก็จะมีล้มหายตายจากเหมือนกัน การแข่งขันในอนาคตก็จะเป็นการแย่งลูกค้ากันเอง และสิ่งที่ชี้วัดก็คือการกลับมาใช้บริการซ้ำ เพราะฉะนั้นการบริการ และอีเวนต์เป็นสิ่งสำคัญ เป็นคอนเทนต์สำคัญที่จะทำให้เกิดการบอกต่อได้”
 
แต่ธุรกิจนี้จะต้องมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเสมอ เพื่อดึงความสนใจ ลูกค้าจะได้ไม่เบื่อ “ธุรกิจสวนน้ำ และสวนสนุกจะต้องมีการปล่อยของทุกๆ 3 ปี จะเปิดตัวและปล่อยของทีเดียวไม่ได้ ต้องกั๊กอะไรบางอย่าง ต้องมีการทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้น อาจจะมีการรีโนเวต เพิ่มเครื่องเล่นเข้ามาในอนาคต” เฐาศิริษกล่าวเสริม
 
ซีนิคอล เวิลด์ได้เปิดตัวมาแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2558 ในช่วงแรกต้องการที่จะสร้างการรับรู้ก่อน โดยตั้งเป้าผู้ใช้บริการเฉลี่ย 2,000 คน/วัน จากที่ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ ราว 500-600 คน/วัน
 
ราคาบัตรในส่วนสวนน้ำผู้ใหญ่ ราคา 890 บาท เด็ก 680 และสวนสนุก 1,250 บาท