ทรู ปิดงบปี ’58 ฟันกำไร 4.4 พันล้านบาท ยอดลูกค้าโมบาย 19.1 ล้านราย รายได้นอนวอยซ์พุ่ง 40.5%

ทรู คอร์ปอเรชั่น ประกาศรายงานผลประกอบการ ปี 2558  ทำกำไร 4.4 พันล้านบาท ย้ำได้ใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ 1800MHz และ 900MHz เป็นแต้มต่อชิงส่วนแบ่งตลาดลูกค้าเติมเงิน สรุปยอดมือถือล่าสุด 19.1 ล้านราย   
 
ผลประกอบการของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ปี 2558 กลุ่มทรู มีรายได้จากการให้บริการโดยรวม เพิ่มขึ้น 10.8 % จากปี 2557  หรือคิดเป็น รายได้ 74.8 พันล้านบาท โดยเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ในทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก โดยเฉพาะรายได้จากบริการนอนวอยซ์ในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ 
 
ทั้งนี้ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา) เพิ่มขึ้นกว่า 10.3 % จากปีก่อนหน้าเป็น 22.1 พันล้านบาท อันเป็นผลจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายโครงข่ายและบริการ เพื่อเร่งเพิ่มฐานลูกค้า 4G 3G และไฟเบอร์ บรอดแบนด์ ทั่วประเทศ
 
สำหรับผลกำไรสุทธิ ในปี 2558 มียอด 4.4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับผลกำไรจำนวน 1.3 พันล้านบาท ในปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 58 จากปีก่อนหน้า และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
 
ศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กล่าวว่า “การให้บริการด้วยเครือข่ายที่ดี และครอบคลุมผนวกกับยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ ยังคงเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทรู และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มทรูประสบความสำเร็จในปี 2558  เพราะทำให้ผู้บริโภคไว้วางใจในสินค้าและบริการของกลุ่มทรู ซึ่งส่งผลให้รายได้และผลประกอบการของกลุ่มทรู โดยเฉพาะธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เติบโตแข็งแกร่ง” 
 
การชนะการประมูลคลื่นความถี่ 1800MHz และ 900MHz นับเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มทรู ในการคงความเป็นผู้นำอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไร้สาย ด้วยเครือข่าย 4G 3G และ 2G ผ่านคลื่นความถี่ที่มีอยู่ทั้งคลื่น 900 1800 2100 และ 850 MHz (ภายใต้ กสท.) ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของกลุ่มให้แข็งแกร่งและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดผู้ใช้บริการระบบรายเดือน แต่ยังช่วยให้กลุ่มทรูสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในส่วนของผู้ใช้บริการระบบเติมเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ แตกต่างจากในอดีตที่กลุ่มทรูมีเครือข่ายบริการ 2G ในวงจำกัด
 
ทรูโมบาย ยอดลูกค้าล่าสุด 19.1 ล้านราย
 
สำหรับรายได้ของกลุ่มทรูโมบาย เติบโตเพิ่มขึ้น 17.3% เมื่อเทียบกับปี 2558 เนื่องมาจากการสร้างแบรนด์ และเพิ่มคุณภาพโครงข่าย ในขณะที่รายได้จากการให้บริการรวมของผู้ประกอบการใหญ่รายอื่นเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.3 โดยกลุ่มทรูโมบายมีส่วนแบ่งตลาดรายได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20.8 ในไตรมาส 4 ปี 2558 เมื่อเทียบกับร้อยละ 17.8 ในไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
 
การเติบโตอย่างแข็งแกร่งนี้ เป็นผลจากการใช้งานโมบาย อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างสูง ทำให้รายได้นอนวอยซ์ของกลุ่ม เติบโตถึง 40.5% จากปีก่อนหน้า โดยกลุ่มทรูโมบายมีฐานผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้น 19.1 ล้านราย ณ สิ้นปี 2558
 
ทรูออนไลน์ ตั้งเป้าขยายบรอดแบนด์ 10 ล้านครัวเรือน
 
ทั้งนี้ ทรูออนไลน์ตั้งเป้าขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ให้มีความครอบคลุมกว่า 10 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ เพิ่มเติมจาก 6 ล้านครัวเรือน ณ สิ้นปี 2558  
 
นอกจากนี้ แพ็กเกจไฟเบอร์บรอดแบนด์ของกลุ่มซึ่งได้เปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี ผลักดันให้ยอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์รายใหม่สุทธิเพิ่มสูงขึ้นกว่า 306,682 ราย ในปี 2558 และขยายฐานลูกค้าบรอดแบนด์เป็น 2.4 ล้านราย
 
ทรูวิชั่นส์ รายได้โตขึ้น 10.9% ยอดสมาชิก 3.1 ล้านราย 
 
ส่วนทรูวิชั่นส์ ทำรายได้ในปี 2558 ด้วยยอดทั้งสิ้น 12.0 พันล้านบาท เติบโตสูง 10.9 % เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า โดยมีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 ล้านราย ในจำนวนนี้เป็นลูกค้ารายใหม่สุทธิเพิ่มสูงขึ้นถึงกว่า 591,705 ราย ในปี 2558 
 
นอกจากนี้ ช่องรายการทีวีดิจิทัล “ทรูโฟร์ยู” ของกลุ่ม และกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ ทรู ดิจิทัล เอชดี ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตของรายได้โฆษณาและกระตุ้นการสมัครสมาชิกแพ็กเกจของทรูวิชั่นส์ได้มากยิ่งขึ้น
 
ศุภชัย กล่าวว่า โครงข่าย 4G และ 2G  ของทรูมูฟ เอช จะความครอบคลุม 98 % ของประชากรไทยในอีกไม่ช้า เพิ่มเติมจากโครงข่าย 3G ของกลุ่มซึ่งมีความครอบคลุมแล้วทั่วประเทศ ในขณะที่กว่าครึ่งของครัวเรือนทั้งหมดในประเทศไทย จะสามารถเข้าถึงบริการไฟเบอร์บรอดแบนด์ของทรูออนไลน์ 
 
นอกจากนี้ ทรูวิชั่นส์ จะปรับโฉมและเพิ่มคอนเทนต์คุณภาพหลากหลายที่มาพร้อมกับนวัตกรรมและการเลือกรับชมช่องรายการโปรดได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยความมุ่งมั่นเหล่านี้ ร่วมกับการเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน จะเสริมสร้างให้กลุ่มทรูเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 
 
นพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน กล่าวว่า แผนการเพิ่มทุนจำนวน 60,000 ล้านบาท ของบริษัท จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของกลุ่ม และคงอันดับเครดิตองค์กรที่เป็นระดับการลงทุน หรือ Investment Grade ตามนโยบายการรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA (Net Debt-to-EBITDA ratio) ของกลุ่มให้ต่ำกว่า 2 เท่า