สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย
กรรมการบริหาร บริษัททราฟฟิกคอร์นเนอร์สโฮลดิ้ง
“ลักษณะแคมเปญเลือกตั้งคราวนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน คือมีการทำตลาด มีการจัดทีมคิดนโยบายการหาเสียง ผู้สมัครทุกคนเริ่มใช้ mass media ค่อนข้างเยอะ มีการวางแนวทางของการลงโฆษณา จากเดิมที่การหาเสียงใช้การปราศรัย เข้าพื้นที่ ตอนนี้ผู้สมัครทุกคนมีการใช้ฐานข้อมูลจากการทำวิจัย ทำ focus group เพื่อ pick up กลุ่มผู้ลงคะแนนเป้าหมาย”
“สำหรับแนวทางการทำโฆษณานั้น บริษัทโฆษณาทุกแห่งต้องเป็นกลาง เขาจะไม่รับทำโฆษณาให้ใครโดยตรง บริษัทสื่ออย่างเราก็ต้องเป็นกลาง เราเชิญผู้สมัครทุกคนมาออกรายการทีวี ผู้สมัครทุกคนเขาจะมีทีมงานทำแคมเปญส่วนตัวที่จ้างเป็นรายบุคคล การหาเสียงตอนเริ่มต้นนั้นผู้สมัครยังไม่ได้ใช้เงินมากการหาเสียง แต่ (เดือนมิถุนายน) ทราบว่าคุณชูวิทย์ เริ่มเช่าป้ายโฆษณาตามทางด่วนไว้ทั้งหมด คุณอภิรักษ์ลงโฆษณาในนิตยสาร a day และ a day Weekly เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่เป็นนักศึกษาถึงคนเรียนจบใหม่เพิ่งทำงาน”
“ตลาดตอนนี้อาจแบ่งได้เป็นสองระดับ คือกลุ่มตลาดบน มีคุณอภิรักษ์ คุณการุณ และคุณมานะ กลุ่มตลาดมวลชน มีคุณปวีณา คุณเฉลิม และคุณชูวิทย์ ทำให้คะแนนเสียงเลือกตั้งคราวนี้จะแตก ผู้ชนะจะไม่ได้รับคะแนนเสียงมากมายหลายแสนคะแนนเหมือนครั้งก่อนๆ“
“สำหรับผมมองว่าคุณปวีณามาแรงที่สุด จากฐานคะแนนเสียง และผลงานในเรื่องสตรีและเด็ก ในขณะที่คนทั่วไปอาจจะเห็นว่าเป็นคุณชูวิทย์ หรือคุณอภิรักษ์ เพราะกระแสที่มาแรงตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เริ่มต้นเปิดรับสมัคร ที่คุณปวีณายังไม่ start การทำโฆษณา แต่คะแนนเสียงตอนนี้คงยังตัดสินเลยไม่ได้ เพราะในครั้งที่คุณสมัครได้รับตำแหน่ง คุณสมัครก็มาแรงแค่ในช่วง 15 วันสุดท้ายเท่านั้น”
“ผมมองว่าคุณปวีณามีภาพที่ดูดีที่สุด คุณอภิรักษ์ยังไม่ได้ proof ในเรื่องงานการบริหารสังคม คุณเฉลิมก็จะมีปัญหาเรื่องครอบครัว อย่างการทำวิจัยตอนนี้ ที่คนตอบว่าจะเลือกคุณชูวิทย์ ผมก็มองว่าเขาตอบไปเพราะความสนุก เพราะคุณชูวิทย์ก็มีปัญหาอยู่ในเรื่องความ aggressive ถ้าคนได้ใช้ second thought แล้วคะแนนเสียงจะเปลี่ยนไป”
นรเศรษฐ์ หมัดคง
นักวิจารณ์ดนตรี คอลัมนิสต์นิตยสารสีสัน, เปรียว, อิมเมจ, OPEN, MTV TRACK, DNA, FORWARD
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ต้องรอจนถึงวินาทีสุดท้าย อยู่ที่ว่ากระแสจะมายังไง เหมือนอย่างการเลือกตั้งคราวที่แล้วก็เหมือนกัน ที่คนเลือกสมัคร สุนทรเวช เพราะคนกรุงเทพฯ เฮไหนก็เฮกันไป“
“กระแสที่ว่า คือกลุ่มคนชั้นบน พวกนักวิชาการ พวกเจ้าของกิจการต่างๆ พวกคนรวยที่จะออกมาพูดสร้างกระแสว่าใครดี พวกกลุ่มคนชั้นกลาง กลุ่มคนชั้นล่างก็จะฟังคนพวกนี้กัน”
“กลุ่มคนชั้นกลางนี่จะมีบทบาทมาก เป็นกลุ่มที่จะมีวิจารณญาณมากที่สุด ซึ่งผมมองว่าคนกลุ่มนี้มีสัดส่วนในกรุงเทพฯ พอๆ กับกลุ่มคนชั้นล่าง คนสลัม คนยากจน ที่ไม่มีผลในแง่การชี้ชัดว่าใครได้ แต่สองกลุ่มนี้รวมกันก็จะเป็นการตัดสิน ซึ่งพอโค้งสุดท้าย คนที่ได้จริงๆ ก็คือคนที่เป็นกระแส และคิดว่าคราวนี้จะพลิกล็อกมาก แต่ผมกล้าฟันธงว่า ปวีณา ไม่มีทางได้รับตำแหน่งแน่”
“เฉลิมมีฐานเสียงทางธนบุรีเยอะ ผมคิดว่าเขาจะต้องติด TOP THREE ส่วนอภิรักษ์ ผมมั่นใจเขามาก ถ้าให้โฟกัสดูคนที่ดูดีที่สุดในแง่คุณภาพที่วิชั่น แบบคนหนุ่ม และมีคุณสมบัติในการบริหารประเทศ แต่ผมก็มองว่านโยบายของประชาธิปัตย์ ยัง conservative เกินกว่าที่จะปกครองกรุงเทพฯ“
“มานะนี่ผมมองว่า เขาจะเป็นแค่ตัวตัดคะแนน พลตรีจำลองเขาแค่หาคนที่มีครบที่สุดเพื่อไม่ให้เสียหน้ามากกว่า แต่คนที่ผมชอบเห็นว่าเก่งจริงๆ คือพีรพงศ์ ถนอมพงศ์พันธุ์ ผู้สมัครอิสระ ซึ่งไม่มีคนเชียร์ ส่วนบิ๊กหอยนี่ทำบอลยังเจ๊งเลย ไม่เอา”
“ชูวิทย์นี่จะเลือกกันทำไม ถ้าคนแบบนี้สร้างกระแสฟอกตัวเองให้คนดูว่าดี แล้วก็ได้เป็นผู้ว่าฯ ต่อไปพวกเจ้าพ่อ นายบ่อน ที่ไหนก็ทำกันได้สิ สร้างให้มีเรื่องขึ้นมาแค่นั้น”
“ถ้าคนกรุงเทพฯ เลือกชูวิทย์เป็นผู้ว่าฯ ผมจะย้ายสำมะโนครัวออก”
คุณสมบัติผู้ว่าฯ กทม. 2547 จากการระดมความคิดของนักวิชาการ
1. อายุระหว่าง 40-60 ปี (หากอายุเกิน 60 ปี ควรเป็นที่ปรึกษาจะดีกว่า)
2. มีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่
3. มีประสบการณ์ในการรับราชการไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือเคยทำงานที่ต้องติดต่อ ประสานงานกับราชการ รู้ระบบ
กฎเกณฑ์ และวิธีการ
4. เคยมีประสบการณ์ในต่างประเทศ เพราะผู้ว่าฯ ต้องมองโลกกว้าง วิสัยทัศน์ดี
5. มีคุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป เพื่อสามารถนำข้อมูลมาช่วยตัดสินใจในการบริหาร และวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีทักษะ
6. ไม่เคยประกอบอาชีพหรือเกี่ยวข้องกับอบายมุขทั้งปวง
7. มีฐานะการเงินที่สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติ
8. ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน หรือถูกร้องเรียน
9. ไม่เคยเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. มาก่อน
10. ไม่เป็นคนของพรรคการเมืองที่มีบทบาทเป็นฝ่ายค้าน หรือรัฐบาลในปัจจุบัน
11. มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้
12. มีวิธีการในการขจัดปัญหาคอร์รัปชันในกทม.ที่ดี