ก้องเกียรติ วัติรางกูร “Unif Green Tea‘s" Driver

หนุ่มโสดหน้าตาคมคายช่างยิ้มผู้นี้พบปะสื่อมวลชนบ่อยครั้ง งานแถลงข่าวของยูนิ-เพรสซิเดนท์โดยมากมีเขาเป็น spokeperson ในฐานะ Marketing Manager แม้เขาจะไม่มีภาพลักษณ์ของความเป็นเถ้าแก่ หรือเป็น CEO แต่ภารกิจที่เขาได้รับมอบหมาย ผลงานที่ปรากฏสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้เป็นกอบเป็นกำและขับเคลื่อนยูนิฟ กรีนทีให้ติดลมบนต้านแรงเสียดทานจากคู่แข่งรอบด้าน

จากเด็กหนุ่มเมืองโอ่ง จ.ราชบุรี เข้าสู่รั้วเหลืองแดง ร่ำเรียนเศรษฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ (BE) ก่อนที่จะลัดฟ้าไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลา 2 ปี กลับมาเมืองไทยเริ่มงานแรกที่ AVON ตั้งแต่ระดับ Maketing Executive ก่อนดูแลเกี่ยวกับการวางกลยุทธ์ ข้ามห้วยจากเครื่องสำอางมาดูแลขนมที่ United Food ต่อด้วยเป็น Brand Manager-เบบี้มายด์ ของโอสถสภา และวันนี้เขาอยู่กับ ยูนิ-เพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด 4 ปีแล้ว เริ่มด้วยตำแหน่ง Product Manager และได้รับการโปรโมตเป็น Marketing Manager เมื่อปี 2546 เป็นห้วงเวลาที่ตลาดชาเขียวเมืองไทยเริ่มคึกคัก ตำแหน่งที่สูงขึ้นไม่ได้สร้างความกดดันให้เขาเท่าไรนัก เพียงแต่เขาคิดว่า “ทำให้ดีที่สุด”

“เข้ามาไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะต้องเป็นอย่างไร แต่รู้สึกว่าเรารักโปรดักส์ เราจะทำอย่างไรให้โต ให้อยู่รอดได้ในตลาด มันกลายเป็นความผูกพันทำให้เราทำงานเต็มที่”

“จริงๆ แล้วผมค่อนข้าง open mind จะไม่ blockใคร ตรงไปตรงมา เพราะการทำงานต้องรักษาน้ำใจ เคารพในความคิดเห็นของแต่ละคน ถูกว่าไปตามถูก ผิดว่าไปตามผิด และค่อนข้างทำอะไรเต็มที่ โชคดีที่เริ่มทำงานเป็นขั้นเป็นตอน ไต่เต้าจนมาถึงระดับ Marketing Manager รู้ว่าคนทำงานมีความกดดันแค่ไหน ตอนนี้ก็ยังไปออกบูธ โกยน้ำแข็งช่วยลูกน้อง การได้คลุกคลีกับเขาจะทำให้สื่อสารกันได้มากขึ้น”

ก้องเกียรติบอกว่าปัจจัยที่นำพาให้ตลาดชาเขียวโตวันโตคืน คือ กระแส ดังนั้นยูนิ-เพรสซิเดนท์ เห็นโอกาสนี้ก่อนใคร จึงสร้างโอกาสทางการตลาดขึ้นมา แม้ตอนแรกจะต้องเผชิญกับคำปรามาสว่า เครื่องดื่มชาเขียว เป็นแค่แฟชั่น แค่ปีเดียวก็คงหายไปจากตลาด แต่นับถึงวันนี้ 4 ปีแล้วที่คนไทยรู้จัก ยูนิฟ กรีนที ซึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่าไม่ใช่แค่แฟชั่นเท่านั้น

ช่วง 2 ปีแรกยูนิฟไร้คู่แข่งที่โดดเด่นเนื่องจากตลาดยังเล็กอยู่ แต่ช่วงหลังนี้เจอสารพัดคู่แข่ง นับแต่โออิชิไต่ระดับบี้เบียดจนยืนแท่นอันดับ 1 คู่กัน และมีเซนชะที่ทุ่มทุนไม่น้อยหน้าใครกำลังไล่กวดมาห่างๆ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของบริษัทแม่ที่ไต้หวัน เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ Unif สามารถเปิดตลาดน้ำผักผลไม้ในเมืองไทย พร้อมกับต่อกรกับเจ้าตลาดอย่าง Tipco ได้อย่างเร้าใจ อีกทั้งเป็นผู้บุกเบิกชาเขียวในเมืองไทย จนรั้งอันดับ 1 ทั้งครองตำแหน่งชนะเลิศแบบโดดๆ (หรือแม้ขณะนี้เป็นอันดับ 1 ร่วมกับโออิชิก็ตาม) เบื้องหลังความสำเร็จนั้นทีมงานการตลาดซึ่งนำโดยชายหนุ่มวัย 31 ปีผู้นี้ นับว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ก้องเกียรติบอกว่า“ภูมิใจที่สร้างเทรนด์ green tea fever ได้ แต่การรักษาทำได้ยากกว่า”

ปัจจุบันยูนิฟครองส่วนแบ่งในตลาด 38% (เอซีเนลเส็น สำรวจเมื่อมกราคม 2548) ถึงแม้ส่วนแบ่งจะลดลงแต่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดรวมที่โตขึ้นต่อเนื่อง “เป็นปกติที่รายอื่นจะดึงแชร์จากผู้นำ แต่เราดูที่ performance มากกว่าดูผลว่าทำได้เกินเป้าหมายหรือไม่ แม้แชร์เราจะลดลง แต่กลับมียอดขายโตขึ้น 100 %
และแม้ยูนิฟจะมีส่วนแบ่งพอๆ กับโออิชิ แต่เมื่อรวมกับชาลีวัง ซึ่งเป็นแบรนด์ในบริษัทเดียวกันแล้ว จะทำให้ยูนิ เพรสซิเดนท์ทะยานขึ้นเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดของชาเขียวพร้อมดื่มมากที่สุดเกือบ 40% (และอาจจะพุ่งขึ้นไปยิ่งกว่านี้ หากโออิชิมิสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ หรือไม่ก็อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนี้ทั้งระบบ)

ก้องเกียรติเปิดเผยว่า ปัจจัยที่ทำให้ยูนิฟประสบผลสำเร็จได้เนื่องจาก branding ของยูนิฟชัดเจนว่าทำจากใบชาคุณภาพ ชูจุดเด่นเรื่องการคัดสรรวัตถุดิบตั้งแต่จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นชาเขียวในขวด และรสชาติที่ถูกปากถูกลิ้นผู้บริโภคชาวไทย รวมทั้งการปฏิเสธสงครามราคา สิ่งที่ยูนิฟทำคือเน้นหนักด้านโปรโมชั่นเป็นสำคัญ เพราะก้องเกียรติให้เหตุผลว่า สงครามราคาไม่เคยสร้างความหอมหวานให้ใครในระยะยาว

“กิจกรรมทางการตลาดยูนิฟไม่เคยขาดเลยเพราะเป็นสิ่งสำคัญ มันมี live ได้ผลเร็วและแรง การปรับ packaging ให้ดูกระชุ่มกระชวยขึ้น อีกทั้งการออก innovation จะเป็นการสร้างสีสันให้กับตลาด และเทรนด์ต่อไปที่ยูนิฟจะนำเสนอคือ การมี 2 รสชาติในขวดเดียว โดยเริ่มจากรสต้นตำรับผสมฮาลุชา เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า แต่ทั้งนี้ยังจำหน่ายในราคา 20 บาท/ขวดเช่นเดิม “ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเขาได้มากกว่าที่เคยในจำนวนเงินที่จ่ายเท่าเดิม”

“ตลาดชาเขียวเราดูเทรนด์จากญี่ปุ่นและไต้หวัน แต่ทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นเครื่องดื่มเป็น fashion มาเร็วไปเร็ว จากที่เคยวางขายเมื่อ 6 เดือนก่อน ไปดูอีกทีไม่มีแล้ว product life cycle สั้นมาก สินค้าใหม่ๆ แปลก ๆ จะเข้ามาลองตลาดเรื่อยๆ และที่สำคัญตลาดเครื่องดื่มเขาพัฒนาไปไกลแล้ว เครื่องดื่ม functional drink อย่าง iFirm ก็เยอะมาก” เขาบอกว่าเมืองไทยก็มีโอกาสเช่นกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับผู้บริโภค

Profile

Name : ก้องเกียรติ วัติรางกูร
Age : 32 ปี
Education :
ปริญญาเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากสวิตเซอร์แลนด์
ปริญญาเศรษฐศาสตรบัณฑิต (ภาคภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มัธยมศึกษา โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
Career Highlights :
ปัจจุบัน Maketing Manager บริษัท ยูนิ-เพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด
Brand Manager – Baby Mild โอสถสภา ดูแล snack ที่ United Food
และ Marketing Executive เอวอนคอสเมติค