สันต์ ภิรมย์ภักดี นักล่าแห่งบุญรอด

สันต์ ภิรมย์ภักดี กระบี่มือหนึ่งรุ่นเล็กของสิงห์ ทายาทคนโตของตระกูลภิรมย์ภักดี เป็น generation ที่ 4 ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด วัย 28 ปี กับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นแผนกที่ไม่เคยมีมาก่อนในบุญรอดฯ

“บทบาทหลักๆ คือ เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดูสินค้าใหม่ๆ ที่จะต่อยอดให้กับบริษัทได้ ทำกำไรให้กับบริษัทได้ในอนาคต นั่นหมายความว่า บุญรอดฯ จะไม่ได้วนเวียนอยู่ในธุรกิจเบียร์เท่านั้น หากแต่จะรุกเข้าไปในธุรกิจเครื่องดื่มอื่นๆ หรือแม้แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบ diversify”

เขาบอกว่า การแตกขยายธุรกิจอาจทำในนามของบริษัทบุคคลก็ได้ หรือเป็นการลงทุนในส่วนของลุง คือ ปิยะ ภิรมย์ภักดี หรือของพ่อ คือ สันติ ภิรมย์ภักดี ซึ่งเขาจะเป็น project leader ให้ “ผมให้บุญรอดฯ 80% ในการทำงาน อีก 20% เป็นการคิดนอกกรอบ”

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นเด็กชาย เขายุติการเล่าเรียนในเมืองไทยไว้เพียงแค่ชั้น ม.2 ที่สาธิตประสานมิตร เพื่อไปร่ำเรียนที่สหรัฐอเมริกาเร็วกว่ากำหนด “ตอนเด็กๆ ผมขี้เกียจและค่อนข้างดื้อ ก็เลยถูกส่งไปอเมริกาตั้งแต่จบ ม.2 แทนที่จะเป็น ม.3” แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวผิดหวังเมื่อสามารถคว้าปริญญาด้าน Business Management จาก Bentley College มาครองได้

และในวัย 28 ปี เขาเป็น Brew Master คนหนึ่งของเมืองไทย ว่ากันว่าน้อยคนนักในเมืองไทยที่จะร่ำเรียนตามหลักวิชาการที่เยอรมันจนจบมาเป็น Brew Master ที่มีใบประกาศเกียรติได้ และสำหรับตระกูลภิรมย์ภักดีแล้ว สันต์ เป็นคนที่ 3 ของตระกูล ต่อจากปู่และลุง ที่บ่มเพาะความรู้ที่เป็นพื้นฐานของการผลิตเบียร์

“ผมไปเรียนทำเบียร์หลังจากทำงานที่ Ogilvy & Mather ได้ประมาณครึ่งปี คุณลุงอยากให้ผมเรียนด้านนี้มาก ผมเลยสานต่อความฝัน และผมเป็นคนโตที่สุดก็เลยต้องมีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่าคนอื่นๆ และคอร์สที่ไปเรียนเป็นแบบเข้มข้นเรียนแค่ 8 เดือน เช้าจรดเย็นไม่มีวันหยุด ปกติจะใช้เวลา 2 ปี”

จากนั้นสันต์เรียนต่อปริญญาโทที่ “ศศินทร์” นอกเหนือจากมาตรฐานด้านการศึกษาที่ไม่แพ้ต่างชาติแล้ว connection เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สันต์เลือกเรียนที่นี่ เพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ เขาเลือกเรียนเมเจอร์เกี่ยวกับการสรรหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ทุกวันนี้มีเพื่อนจากศศินทร์มาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยเหลือเขาในแผนกพัฒนาธุรกิจใหม่นี้ด้วย

“จริงอยู่ตอนนี้ธุรกิจเบียร์กำลังไปได้ดี แต่ต่อไปในอนาคตใครจะรู้ว่าจะเป็นทางตัน มันอาจจะโตไมได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาธุรกิจใหม่ๆ มารองรับการเติบโตของบริษัทต่อไปในอนาคต” กรณีศึกษาจากพันธมิตร “อาซาฮี” เป็นเครื่องเตือนใจให้กับบุญรอดฯ ได้เป็นอย่างดี แม้เบียร์อาซาฮีจะได้ชื่อว่าเป็น No.1 In Japan แต่ทุกวันนี้ธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทต่างหาก เช่น sport drink และ energy drink เป็นต้น ที่หล่อเลี้ยงบริษัทด้วยยอดขายที่เติบโตทุกเมื่อเชื่อวันขณะที่เบียร์อาซาฮีเติบโตเต็มที่มานานพอสมควรแล้ว สันต์คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดเบียร์เมืองไทยจะถึงจุดอิ่มตัวตามรอยญี่ปุ่น

เป็นที่แน่นอนว่าสินค้าใหม่ของบุญรอดฯ มีมากกว่า 1 ตัวแน่นอน แต่ที่รู้ๆ กันอยู่คือชาเขียว แต่รายละเอียดยังไม่เป็นที่เปิดเผย แม้แต่โรงงานผลิตชาเขียวในพื้นที่ของบุญรอดฯ ที่สามเสนยังเป็นโรงงานปิดแบบมิดชิด

สันต์มั่นใจว่า แม้ในตลาดชาเชียวจะมีคู่แข่งมากหน้าหลายตา แต่โอกาสยังมี เขาเลือกที่จะผลักดันให้ชาเขียวเกิดภายใต้ร่มธงบุญรอด ซึ่งเป็นประกายความคิดที่ถูกจุดขึ้นเมื่อครั้งยังเรียนศศินทร์ เมื่อเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา เป็นห้วงเวลาที่โออิชิกำลังส่อแววรุ่ง

“ยังมีช่องให้สอดแทรกได้ และเรายังรู้สึกดีที่จะทำต่อไป แต่ถ้าเราทำอะไรแล้วรู้สึกฝืดๆ ฝืนๆ ก็คงไม่ทำ ตลาดชาเขียวยังมีศักยภาพอยู่ เพราะอยู่ในช่วง growth rate เอง แม้จะมีคู่แข่งรายใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่เราเชื่อว่าจะต้องแตกต่าง เท่าที่ผ่านมา ยังไม่เห็นแบรนด์ไหนคล้ายของเราเลยแม้แต่นิดเดียว”

ความเป็นคนรุ่นใหม่ในองค์กรเก่าแก่บวกกับอุปนิสัยส่วนตัวที่ไม่อยากเดินตามกรอบของใคร ทำให้สันต์รวมถึงน้องชาย ซึ่งสันต์บอกว่าเป็นหัวโจกที่พยายามขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ให้กับบริษัท และเป็นผู้ให้กำเนิดแผนกพัฒนาธุรกิจ

“การทำงานของบุญรอดฯ นี่จะมาเร็วกลับเร็ว เข้างานกัน 7 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น แต่แผนกผมจะมาช้ากลับช้า ถึงผมจะเข้างาน 10 โมง แต่ก็อยู่ถึง 2 ทุ่ม ถ้าผมทำงานเหนื่อยๆ ก็อยากนอนพักให้เต็มที่ ตื่นมาก็ใช้หัวคิดจนค่ำมืดเลยก็ได้ อาจเป็นเพราะผมชอบคิดอะไรนอกกรอบ ถ้าคนรู้จักผมจริงๆ จะรู้ว่าผมไม่ได้ชอบอะไรที่มีอยู่แล้ว ผมว่าไม่ท้าทาย แต่ทุกอย่างที่ทำจะต้องมีเหตุผล back up ตลอดเวลา ว่ากันด้วยตัวเลขด้วยข้อมูล”

เป็นที่รู้กันในวงกว้างว่า เขาเป็นนักแข่งรถตัวยงไม่แพ้น้องชาย-ปิติ ภิรมย์ภักดี แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขาเล่นกีฬาหลายประเภท ทั้งกอล์ฟ เทนนิส ฟุตบอล และมวยไทย ซึ่งมวยไทยนี้เขาเคยเป็นครูสอนที่ค่ายมวยของเพื่อนในอเมริกาด้วย “ผมมองว่ามวยไทยเป็นศิลปะป้องกันตัวที่ดี มีลีลาและท่วงท่าที่สวยงาม ส่วนแข่งรถผมเริ่มทีหลังน้องชาย เพราะสมัยก่อนผมสนใจผู้หญิงมากกว่ารถแข่ง (หัวเราะ)”

สันต์ซึมซับคำพ่อสอนอยู่ในสายเลือดตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้เขายอมรับว่าหลายๆ ครั้งจะคิดและมองประเด็นต่างๆ ในแง่มุมเดียวกัน และคำแนะนำที่เป็นแรงบันดาลใจ คือ ทำทุกวันให้เหมือนวันสุดท้ายในชีวิต เพราะเราไม่รู้ว่าชีวิตต่อไปจะเป็นอย่างไร วันพรุ่งนี้จะตายหรือเปล่าไม่มีใครรู้ ผมก็พยายามทำทุกวันให้ดี ไม่ปล่อยให้วันไหนหลุดไปง่ายๆ โดยไม่เกิดประโยชน์

Profile

Name : สันต์ ภิรมย์ภักดี
Born : 12 มกราคม 2520
Education :
– มัธยมศึกษาโรงเรียนสาธิตประสานมิตร ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 2
– High School ที่ Wilbraham Monson Academy ถึง เกรด 12
– ปริญญาตรี Bachelor of Business Management, Bentley College, Waltham, MA, U.S.A.
– Master in Brewery Management, Doemens, World Brewing Academy, Grafelfing, Germany
– ปริญญาโท Master of Business Administration , Sasin Graduate Institute of Business Administration
Career Highlights :
– ผู้บริหาร – ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ, บริษัท บุญรอดบริวเวอร์รี่ จำกัด
– ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์, บริษัท บุญรอดบริวเวอร์รี่ จำกัด
– Account Executive, Ogilvy & Mather Advertising, ประเทศไทย
– Trainee, Die Einbecker Brauhaus AG, Einbeck, Germany
Family :
บิดา สันติ ภิรมย์ภักดี มารดา อรุณี ภิรมย์ภักดี น้องชาย สันต์ ภิรมย์ภักดี น้องสาว ปรีดิ์ติ ภิรมย์ภักดี (ศึกษา ณ สหรัฐอเมริกา)