POSITIONING ฉบับนี้จะขอพูดถึงรถยนต์ในกลุ่มตลาดบนที่จะเข้ามาทำตลาดในบ้านเราตั้งแต่ช่วงมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 26 เป็นต้นไป นั่นก็เพราะรถในกลุ่มตลาด mass รายใหญ่ๆ ต่างก็มีกำหนดในการทำ model change ของรถรุ่นหลักๆ ในปี 2006 เกือบทั้งหมด
ไฮไลต์ตัวแรกต้องยกให้ทางค่าย Mercedes ที่จะนำ A Class มาเปิดตัวให้คนไทยได้เป็นเจ้าของกันในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 26 นี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ปล่อยให้ทาง BMW คู่แข่งสำคัญในรถเกรดเดียวกันเอา BMW Serie 1 เข้ามาขายในบ้านเราได้สักพัก ทาง Mercedes ก็เตรียมจะเปิดตัว Mercedes A Class ใน Bangkok International Motor Show 2005 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม – 3เมษายน 2548 โดย A Class ที่จะนำมาขายในประเทศไทยนั้นก็จะมีทั้งรูปแบบของ City Car 3 ประตู และแบบ 5 ประตู ที่จะนำมาชนกับ BMW Serie 1 ซึ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเราอยู่ก่อนแล้ว
A Class ถือเป็นไฮไลต์สำคัญตัวหนึ่งในประเภทของรถที่จะวางจำหน่ายกันจริงๆ เพราะจะว่าไปแล้วงาน Motor Show 2005 นี้ก็ไม่ค่อยจะมีค่ายไหนนำรุ่นใหม่ๆ หรือทำการ model change สักเท่าไหร่ ดังนั้น A Class จะเป็นหมัดเด็ดของ Mercedes ที่จะมาบุกตลาดรถยนต์อเนกประสงค์(A class 5 ประตู) และ City Car (A Class 3ประตู) โดยราคาที่คาดว่าทาง Mercedes จะวางไว้สำหรับเจ้า A Class ตัวนี้น่าจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านต้นๆ โดยจุดเด่นของ A Class ก็คือมีรูปแบบเครื่องยนต์ให้เลือกกันทั้ง ดีเซล (เครื่องยนต์ยูโร 4 ) และเบนซิน โดยไล่ตั้งแต่ 1500 cc ไปจนถึง 2000 cc เรียกได้ว่า Mercedes หวังจะให้ A Class กวาดกลุ่มตลาดบนที่กำลังมองหา City Car หรือรถอเนกประสงค์ เพราะจะว่าไปแล้วตัวเลือกในตลาดกลุ่มเดียวกันนี้ตัวเลือกที่มียังไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าจะหวังโกยส่วนแบ่งทางการตลาดแล้วก็ต้องรีบชิงเปิดตัวกันเสียก่อนแบบที่ทาง Honda นำ Jazz เข้ามาวางจำหน่ายก่อนกำหนดแล้วก็ประสบความสำเร็จ
จะว่าไปแล้วการนำ A Class เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยน่าจะเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกได้ว่าความนิยมของรถยนต์รูปแบบ City Car ในบ้านเราน่าจะสูงขึ้น แต่ข้อจำกัดสำหรับ A Class ก็คือเรื่องของราคาที่อยู่ในระดับ 2 ล้าน ในขณะที่ BMW Serie 1 ซึ่งเป็นรถยนต์ 5 ประตู ยังอยู่ที่ 2 ล้านปลายๆ ในขณะเดียวกัน City Car ในกลุ่มรถยุโรปอีกตัวที่เข้ามาบ้านเรานานแล้วก็คือ Citroen C3 ซึ่งราคาอยู่ที่ล้านต้นๆ เท่านั้น ท่าทาง A Class คงต้องเหนื่อยไม่น้อยในการบุกตลาดบนบ้านเรา
รุ่นต่อมาที่คาดว่าจะเข้ามาขายจริงในบ้านเราก็คือ LEXUS GS ที่คาดว่าจะเริ่มขายจริงในอังกฤษก่อนในช่วงเดือนเมษายนนี้ และจะเข้ามาในเมืองไทยเราในช่วงของไตรมาสที่ 2 หรือที่ 3 ซึ่งราคาสำหรับเจ้า LEXUS GS ที่เคาะไว้ก็จะเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ 4 ล้านปลายๆ โดย LEXUS GS จะมี 2 รุ่นให้เลือกคือ GS 300 และ GS 430 ซึ่งความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นี้ก็คือ GS 300 จะใช้เครื่องยนต์แบบ in-line 6 engine ขนาด 3 ลิตร มาพร้อมกับกำลัง 220 แรงม้า ส่วน GS 430 ก็จะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 430 ลิตร V8 ด้วยกำลังขับเคลื่อน 300 แรงม้า
อีกตัวหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้จากทาง LEXUS ก็คือ LEXUS IS ซึ่งเป็นตัว model change ของ Lexus Altezza ที่จะเปิดตัวครั้งแรกในงาน เจนีวาออโต้ซาลอนในวันที่ 1 มีนาคมนี้อย่างแน่นอน LEXUS IS มาพร้อมกับตัวเครื่องยนต์ in-line 6 engine 24 วาล์ว 215 แรงม้า และคาดว่าจะเข้ามาทำตลาดในบ้านเราในช่วงปลายปีนี้ จุดเด่นของ LEXUS IS จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ LEXUS ที่จะมีเครื่องยนต์ดีเซลมาให้ด้วย โดยทาง LEXUS วางหมากที่จะให้ IS เข้ามาชนกับ Mercedes C Class และ BMW Serie 3 จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับ LEXUS IS ก็คือ Lexus DVD Navigation System ซึ่งเป็นระบบนำทางแบบ GPS ที่ติดมากับ LEXUS IS ด้วย
แนวโน้มของรถยนต์ในยุคปัจจุบันนี้นอกจากเทคโนโลยีที่แต่ละค่ายพยายามพัฒนากันปกติอยู่แล้ว ค่ายรถยนต์ใหญ่ๆ หลายค่ายเริ่มสนใจการผลิตรถยนต์ให้มีตัวเลือกในด้านของเครื่องยนต์ดีเซลออกมาด้วย ซึ่งถือเป็นทางออกหนึ่งที่ค่ายรถยนต์จะใช้ในยุคที่ทั่วโลกประสบกับวิกฤตราคาน้ำมัน เพราะถ้าหากมีตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลก็ย่อมที่จะได้รับความสนใจมากขึ้นตามไปด้วย