ลุคใหม่ “maximize”

เหมือนเป็นจังหวะบังเอิญเหลือเกินในสถานการณ์การเมืองสุดร้อนในปลายเดือนมีนาคม 2549 สำหรับการรีแคมเปญ “maximize” ของแบรนด์ดีแทค หลังจากใช้แคมเปญนี้มานานประมาณ 2 ปี

เพราะเป็นเวลาพอดีกับที่คู่แข่งอย่าง ”เอไอเอส” เบอร์หนึ่งของตลาดโทรศัพท์มือถือที่ยึดกลยุทธ์ต้องระวัง เพราะขืนพรวดพราดทำอะไรรุนแรงออกไปก็อาจถูกต้านหนักกว่าเดิม เพราะภาพของอดีตเจ้าของบริษัท ”ทักษิณ ชินวัตร” ยังฝังแน่นอยู่ แม้จะมี ”เทมาเส็ก” กลุ่มทุนจากสิงคโปร์เป็นเจ้าของใหม่แล้วก็ตาม

แผนดีแทค ”รีแคมเปญ” ด้วยการปรับลุคของ maximize พร้อมสโลแกน “ชีวิตเหนือความคาดหมาย” ใหม่ครั้งนี้ ”บุญเกียรติ ชาติอุดมเดช” ผู้อำนวยการกลุ่มโพสต์เพด ดีแทค บอกว่าต้องการให้ดูไฮเอนด์ยิ่งขึ้น จึงเปลี่ยนทั้งสีสันโลโก้ จากสีฟ้าเป็นสีทองแดง ซึ่งเป็นเทรนด์ของปี 2549 และตัวโลโก้ที่ให้ตัว X เป็นใหญ่ขึ้น ทำให้ดูสดใสมีชีวิตชีวามากขึ้น ผนวกกับแคมเปญค่าโทรใหม่ไม่ได้คิดเป็นนาทีเหมือนเดิม แต่คิดโทรครั้งละ 2.50 บาท และบริการเสริมเปรียบเสมือนมีเลขาส่วนตัว ให้บริการแบบเอาใจทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการแบบครบวงจร แม้กระทั่งโทรมา ”แฮปปี้เบิร์ธเดย์” จึงเชื่อว่าจะทำให้เสน่ห์ของ maximize เพิ่มขึ้น ด้วยแพ็กเกจค่าโทรเดือนละ 999 และ 1,499 บาท

อย่างไรก็ตามผู้บริหารของดีแทค ทั้ง “ซิคเว่ เบรคเก้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ”สันติ เมธาวิกุล” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ต่างยืนยันว่าแผนนี้วางไว้นานแล้ว ย้ำกันจะจะว่าไม่ได้ฉวยโอกาสคู่แข่งที่ยังนิ่งสงบเพื่อดึงลูกค้ามาอยู่ในเครือข่าย

“หากจะฉวยโอกาสจริงก็คงจะทำตลาดกลุ่มพรีเพดไปแล้ว แต่ขณะนี้รอดูสถานการณ์ก่อน” ซิคเว่ยืนยัน

ขณะที่ ”สันติ” ก็บอกว่าโฉมใหม่ maximize สำหรับลูกค้าที่ไฮเอนด์ เป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายค่าโทรเดือนละไม่ต่ำกว่ 2,000 บาท และเป็นลูกค้ากลุ่มที่ดีแทคไม่เคยเน้นทำตลาดมาก่อน หากจะดึงลูกค้าคู่แข่งมาจริง ก็คงต้องตัดราคามากกว่านี้

ขนาดไม่ตั้งใจแต่ก็มีตัวเลขที่ฟ้องให้เห็นว่าดีแทครับส้มหล่นมาโดยเต็มๆ ซึ่ง ”สันติ” บอกว่ายอดลูกค้าใหม่ของโพสต์เพดขณะนี้ได้เฉลี่ยสุทธิเดือนละ 50,000 ราย จำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว และเกือบ 50-100% มาจากเครือข่ายอื่น จน ณ ปัจจุบันลูกค้าโพสต์เพดที่มีอยู่ 3 แคมเปญ คือ ZAD, WORK และ maximize มีลูกค้ารวมแล้ว 1.5 ล้านราย และเชื่อมั่นว่าลูกค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงสิ้นปี 2551 จะมีลูกค้ารวม 3 ล้านราย

ตัวเลขอย่างนี้ “สันติ” บอกว่าไม่เห็นมานานแล้ว เมื่อเทียบกับปี 2544 ที่ลูกค้าโพสต์เพดลดลงทุกเดือนหลังพรีเพดออกตลาดอย่างหนัก ให้ความสะดวกลูกค้าในแง่ของเบอร์ใหม่ และความสะดวกในการเติมเงิน เฉลี่ยลูกค้าโพสต์เพดช่วงนั้นหายไปเดือน 4-5 แสนราย แต่พอปี 2547 ดีแทคก็หันกลับมาทำตลาดโพสต์เพดอีกครั้งด้วยแพ็กเกจ my เพราะเห็นว่ากลุ่มโพสต์เพดมีมูลค่า ยอดลูกค้าจึงกระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ใช่ความคาดหวังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ดีแทคยังได้เตรียมพร้อมลงทุนเพิ่มพนักงานคอลเซ็นเตอร์อย่างน้อยๆ ปีนี้เพิ่มอีก 1,000 คน รวมเป็น 1,500 คน สร้างตึกใหม่รองรับด้วยงบ 300 ล้านบาท และขยายเครือข่ายสัญญาณครอบคลุมพื้นที่เท่ากับเอไอเอสภายในสิ้นปีนี้

แผนครอบคลุมครบวงจรขนาดนี้ยอดขายงามๆ จะไปไหนเสีย จริงไหม…