“Size dose matter” ใครว่าขนาดไม่สำคัญ…สินค้าขายดีปัจจุบันกลับกลายเป็นสินค้าไซส์เล็ก
โดยเฉพาะคอนซูเมอร์ โปรดักส์ เป็นทางเลือกที่เหมาะเจาะกับผู้บริโภค แม้จะเป็นเรื่องที่เห็นกันมานมนานจากปกติจะซื้อเพื่อทดลองและเหมาะกับการพกพาระหว่างวันหรือเดินทางต่างจังหวัด 2-3 วัน แต่ในช่วงเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจผันผวนและการเมืองยังไม่คลี่คลายดีนักในขณะนี้ สินค้าไซส์เล็กได้เริ่มทวีความสำคัญกว่าเดิมหลายเท่านัก กลับกลายมาเป็นสินค้าที่ซื้อหามาใช้กันอย่างจริงจังมากกว่าการทดลอง เพราะผู้คนใส่ใจกับการจับจ่ายมากขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มอืดนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าบางครั้งสินค้าไซส์เล็กอาจทำให้เราแทบแยกไม่ออกว่าชิ้นใดเป็นสินค้าตัวอย่างหรือสินค้าบนเชลฟ์ที่วางขายกันอย่างจริงจัง โดยปัจจุบันมีสินค้าไซส์เล็กมากมาย อาทิ พอนด์สแบบซอง, แพนทีน ลิฟท์ ออน ขนาดพกพา ลิสเตอรีนและซิสเท็มมา ขนาด 80 มล. เป็นต้น
กรณีนี้ส่วนหนึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นด้วยความจำเป็นโดยแท้ (ไม่นับรวมการลดขนาดสินค้าแต่ขายในราคาเท่าเดิม ซึ่งเป็นกลยุทธ์สีดำของนักการตลาดที่เอาเปรียบผู้บริโภคอย่างน่าละอาย)
ด้านของเล็กราคาสูงอย่างสินค้าไอที เป็นสิ่งเสริมค่าเสริมราคาให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ผันแปรไป สถานภาพทางสังคมไม่จำเป็นต้องบ่งบอกด้วยวัตถุชิ้นใหญ่โตเสมอไป เพราะสินค้าขนาดเล็กบ่งบอกถึงความทันสมัยและเทคโนโลยีที่เหนือชั้น เช่น ตำนานรถยนต์คลาสสิกอย่าง “MINI” ที่สร้างจุดขายในเรื่องของขนาดเป็นธงนำก่อนใครเพื่อน และที่โดดเด่นที่สุดสำหรับสินค้าไอที คงหนีไม่พ้น “Mini iPod” ซึ่งสร้างกระแส ilife ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา นับเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากไอพ็อดได้เป็นอย่างดี
นั่นเป็นตัวอย่างเล็กๆ ของสินค้าเล็กๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
เล็ก…สร้างความต่างจากคู่แข่ง
เล็ก…บอกถึงความทันสมัย
เล็ก..บอกถึงเทคโนโลยีที่เหนือชั้น
เล็ก…บอกถึงความสะดวกสบายในการพกพาและใช้งาน