รีแบรนด์ไทยรักไทย จุดเปลี่ยนบนวิกฤตผู้นำ

เมื่อแบรนด์พรรคไทยรักไทยต้องสะดุดกับวิกฤตปัญหาขาดผู้นำของพรรค เพราะปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน และคอรัปชั่น จนนำไปสู่การยึดอำนาจ ทำให้ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก่อตั้งพรรคต้องประกาศลาออกในที่สุด

พรรคไทยรักไทยวันนี้เดินทางมาถึง “จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ” กับความพยามยาม “รีแบรนด์” ภายใต้รักษาการหัวหน้าพรรคคนใหม่ “จาตุรนต์ ฉายแสง” ที่ต้องสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ให้ปราศจากภาพกลุ่มอำนาจเก่า พร้อม Positioningใหม่ เน้นแนวทางการเป็นพรรค “สถาบันการเมือง”

Re-Positioning มุ่งเป็น “สถาบันการเมือง”

หลังจาก “จาตุรนต์ ฉายแสง” ประกาศรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ สโลแกนของพรรคไทยรักไทยถูกเปลี่ยนเป็น “สมานฉันท์ ยึดมั่นประชาธิปไตย ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับคืนมา” เพื่อ “ตอกย้ำ”จุดยืนของพรรค ไทยรักไทยยุคใหม่ และสะท้อนความเป็นมิตรกับพรรคการเมืองทุกพรรค และกรุยทางให้นโยบายที่พรรคนำมาเสนอขายดำเนินต่อไปได้

ขณะที่นิยามพรรค “ไทยรักไทย หัวใจคือประชาชน” นั้นยังคงไว้เหมือนเดิม พร้อมกับวางตำแหน่งพรรคมุ่งสู่ “ความเป็นสถาบันการเมือง” เน้นบริหารพรรคโดยคณะกรรมการบริหาร จากเดิมที่บริหารแบบรวมศูนย์ที่หัวหน้าพรรคเป็นหลัก

“หัวหน้าพรรค เป็นหนึ่งในจุดแข็งของพรรค แต่ถูกโจมตีจนกลายเป็นจุดอ่อนในปัจจุบัน และคุณทักษิณเคยพูดอยากเห็นพรรคไทยรักไทยเป็นสถาบันการเมือง ผมนำแนวคิดมาเริ่มทำกับ ส.ส. บัญชีรายชื่อตอนนั้น ก่อนวันที่ 19 กันยายน และ ประเมินว่า 3 ข้อจุดแข็ง อาทิ นโยบายพรรค สมาชิกพรรค 14 ล้านคน และ ส.ส. พรรคมี 300 กว่าคนยังไปได้ แต่ปัญหาคือ ตัวหัวหน้าพรรค ซึ่งตอนนั้นลาออกจากหัวหน้าแล้ว ดังนั้นจึงต้องแก้ไขด้วยการตั้งทีมบริหารพรรค”ปองพล อดิเรกสาร รักษาการรองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการพัฒนาพรรคฯ บอกกับ POSITIONING ถึงที่มา และวิเคราะห์ให้ฟังอีกว่า

“ที่ผ่านมา เรามีกรรมการบริหารพรรค 100 กว่าคน เวลาเกิดปัญหาจะมีคนรู้เรื่องไม่กี่คน ขณะที่กรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่อง ทำให้พวกเราไม่สามารถออกมาชี้แจงแทนหัวหน้าพรรค หรือผู้ต้องชี้แจงได้
แต่ถ้าบริหารแบบคณะกรรมการพรรค เวลามีปัญหาเรื่องใดก็จะเข้าที่ประชุม ก็จะมีข้อมูลที่จะไปช่วยชี้แจงได้ มันทำให้เป็นปึกแผ่นขึ้น”

Re-Place สร้างภาพลักษณ์ใหม่

นอกจากนี้ ไทยรักไทยยุคจาตุรนต์ ยังได้ย้ายที่ทำการพรรคใหม่ จากอาคาร IFCT ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร มาสู่ “อาคารนวสร” หรือตึกที่ทำการของค่ายออนป้า ไรท์บียอนท์ ย่านถนนพระราม 3

ตึกใหม่ ซึ่งใช้เลขที่ว่า 111/1 นี้ ปองพล หนึ่งในทีมจัดหาสถานที่แห่งใหม่ บอกว่า ได้ให้ทีมงานติดต่อไปยังสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง แต่เจ้าของตึกปฏิเสธ เพราะไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ในที่สุดวิเชษฐ์ เกษมทองศรี ทีมงานพรรคจึงเลือกอาคารนวสร เพราะมีสายสัมพันธ์ส่วนตัว สนิทกับ “วิโรจน์ ปรีชาว่องไวกุล” เจ้าของตึกและธุรกิจออนป้า

เหตุผลย้ายที่ทำการพรรคใหม่นี้ ปองพลบอกว่านอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายพรรคแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคไทยรักไทยใหม่ชัดเจนขึ้น เป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอำนาจเก่า เพื่อสลัดภาพให้พ้นจากความเป็นพรรคของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยอีกด้วย ทั้งยังเป็นการ “ปรับโฉมใหม่” ไปในตัว

ฮวงจุ้ยของตึกใหม่ ทางทีมงานพรรคยังเชื่อว่าเป็นชัยภูมิที่ดี เพราะด้านหน้าใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา และภายในอาคารยังตกแต่งด้วยกระจกยื่นออก 9 แฉกทั้งสองด้าน สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตของพรรคฯ อีกด้วย ขณะที่ตึกเก่าเดิม หมอดูฮวงจุ้ยเคยติงว่าเป็นชัยภูมิไม่ค่อยดี เพราะด้านหลังตึกติดคลองทิ้งน้ำแสนแสบ และด้านข้างยังติดกับสถานบันเทิงอาบอบนวด

รีแบรนด์…แต่ยังเหงา

สำหรับพื้นที่ใช้สอยภายในของตึกใหม่ ถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วน ค่อนข้างกะทัดรัด เพราะมีพื้นที่จำกัด โดยทางพรรคเช่าเฉพาะชั้นล่างทั้งชั้นเท่านั้น ขวามือจากจากประตูทางเข้า เป็นห้องแถลงข่าวสื่อมวลชน ที่โดดเด่นด้วยแบล็กดรอฟ ป้ายขนาดใหญ่ พื้นสีแดงเด่น มีรูปจาตุรนต์เป็นไฮไลต์ของผนัง

ถัดมาซ้ายมือ เป็นสโลแกนและนิยามพรรคเดิม ห้องทำงานขนาดเล็กของทั้งหัวหน้าและรองฯ มีประมาณ 5-6 ห้อง พร้อมห้องประชุมชั่วคราว จุได้ไม่เกิน 20 คน บรรยากาศพรรคประจำวันจึงค่อนข้างเงียบเหงา เพราะมีเพียงแต่คณะบริหารพรรคชุดปัจจุบัน ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาประชุม พบปะแลกเปลี่ยน ประเมินสถานการณ์ทุกวัน โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำพรรคประมาณ 5-6 คน ดูแลพรรค ขณะที่นักข่าวประจำพรรคการเมือง เดิมมีประจำพรรคหลายคน สื่อแทบทุกประเภท เหลือเพียงไม่กี่คน และมักจะเข้ามาทำข่าวเฉพาะมีแถลงข่าวประเด็นสำคัญเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในวันที่ 30 พ.ค. นี้ ซึ่งเป็น “วันอ่านคำพิพากษาคดียุบพรรค” ไทยรักไทย-พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนอกจากเป็นวันตัดสินชะตากรรมแบรนด์ไทยรักไทยว่าจะ “อยู่หรือไป”ในตลาดการเมือง ที่ทำการพรรคแห่งนี้ยังเป็น “แหล่งชุมชนพลพรรค” ทั้งสมาชิกพรรค และ ส.ส. พรรคกว่า 300 คน “แบบไม่เหงา” ได้วันหนึ่งเลยทีเดียว