ตลาดเครื่องสำอาง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 16 Mar 2023 08:16:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับ 5 เทรนด์สำคัญวงการ “บิวตี้-เครื่องสำอาง” 2566 จากพลัง “ดาต้า” ของร้าน “วัตสัน” https://positioningmag.com/1423484 Thu, 16 Mar 2023 08:02:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423484 ปี 2566 เป็นปีที่ทุกวงการธุรกิจจะกลับมาฟื้นเต็มรูปแบบ รวมถึงธุรกิจ “บิวตี้-เครื่องสำอาง” จากขุมพลัง “ดาต้า” ของร้าน “วัตสัน” ร้านจำหน่ายเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ที่มีสาขามากที่สุดในไทย พบเทรนด์สำคัญๆ ในช่วงหลังโควิด-19 ที่ต้องจับตา

“นวลพรรณ ชัยนาม” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย เปิดข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคตลาด “บิวตี้-เครื่องสำอาง” ในช่วงหลังผ่านพ้นโควิด-19 ที่น่าสนใจ จากการเก็บ “ดาต้า” ของวัตสัน (Watsons) ที่มีร้านสาขาอยู่มากกว่า 650 สาขาทั่วประเทศ และมีฐานลูกค้าสมาชิกประมาณ 7 ล้านคน โดยความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคมีดังนี้

 

1.ลูกค้าช้อปออนไลน์ไม่ลดลงแม้โรคระบาดคลี่คลาย

ในช่วงโควิด-19 วัตสันมีการออกกลยุทธ์ O+O หมายถึง Offline+Online เพื่อดึงให้ลูกค้าเลือกหาสินค้าและช้อปปิ้งได้ทั้งสองช่องทาง ส่งเสริมกันและกัน

“เราคิดว่าหมดโควิด-19 แล้วลูกค้าที่ซื้อออนไลน์คงจะลดลง แต่ปรากฏว่าไม่ลดลงเลย และลูกค้าเข้าหน้าร้านก็กลับมามากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการช้อปออนไลน์กลายเป็น norm ของสังคมไปแล้ว” นวลพรรณกล่าว

อีกส่วนหนึ่งที่ลูกค้าออนไลน์ไม่ลดลง วัตสันศึกษาพบว่าเป็นเพราะยุคก่อนการช้อปออนไลน์เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ แต่สมัยนี้ทุกวัยมีความรู้ในการซื้อของออนไลน์และเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมด

ออนไลน์ยังสำคัญกับการขายผลิตภัณฑ์บิวตี้
2.Search ก่อนช้อป และรู้ลึกรู้จริง

80-90% ของลูกค้าวัตสันยุคนี้มีการค้นหาข้อมูลสินค้าก่อนซื้อ และการค้นหาก็ไม่ใช่เพียงผิวเผิน แต่ต้องการทราบรายละเอียดเชิงลึก

“ลูกค้าต้องการรู้ลึกว่าผลิตภัณฑ์ใส่ส่วนประกอบอะไรบ้าง ส่วนประกอบนั้นมาจากไหน เพราะเดี๋ยวนี้ลูกค้ามีความรู้หมดว่าส่วนประกอบนั้นๆ คืออะไร ใช้ทำอะไร จนกระทั่งรู้ว่าส่วนประกอบชนิดนี้ต้องมาจากแหล่งไหนถึงจะดีที่สุด” นวลพรรณกล่าว

เป็นการบ้านกลับมาที่วัตสันจะต้องฝึกฝนพนักงานร้านให้รู้ลึกรู้จริงเช่นกัน หากลูกค้าสอบถามเข้ามาจะต้องตอบได้ เพื่อคงความเป็นร้านผู้เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์บิวตี้

 

3.“For Men” สินค้าม้ามืดแห่งยุค

ผลิตภัณฑ์ที่มาแรงมากๆ ในยุคนี้คือ ผลิตภัณฑ์บิวตี้สำหรับผู้ชาย (For Men)

“ผู้ชายที่หันมาใช้ผลิตภัณฑ์บิวตี้จะเริ่มจากพื้นฐานก่อน เช่น โฟมล้างหน้า สกินแคร์บำรุงผิว จนคนที่มั่นใจมากขึ้นก็จะหันมาลงแป้ง คุชชั่น รองพื้น เขียนคิ้ว อายไลเนอร์ เพราะผู้ชายก็ต้องการจะดูดีเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้ามีงานสังคมสำคัญๆ” นวลพรรณกล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้ชายหลายคนอาจจะยังใช้ของผู้หญิงทดแทนไปก่อนเพราะผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายมีให้เลือกไม่มาก กลุ่มสินค้า For Men ที่วัตสันมีจำหน่ายจะเป็นยี่ห้อ เช่น ศรีจันทร์, in2it, Dermaction Plus by Watsons ซึ่งเป็นกลุ่มที่ออกไลน์สินค้าสำหรับผู้ชาย

ในอนาคตหากมีแบรนด์ที่ออกผลิตภัณฑ์ For Men หลากหลายขึ้น เป็นไปได้ที่วัตสันจะเริ่มจัดโซนบิวตี้สำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ชายที่คิดเร็ว ซื้อเร็ว มีเป้าหมายในการหยิบ ไม่นิยมเดินดูของในร้านเหมือนผู้หญิง

วัตสัน
ไลน์ผลิตภัณฑ์ For Men ของแบรนด์ Dermaction Plus by Watsons
4.การกลับมาของ “Make up”

ช่วงที่เกิดโรคระบาด ไลน์ผลิตภัณฑ์ Make up หรือเครื่องสำอางตกแต่งใบหน้านั้นทำยอดขายได้ลดลง เพราะคนไทยอยู่บ้านมากขึ้น หากออกไปนอกบ้านก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย จึงไม่น่าแปลกใจที่สินค้า เช่น ลิปสติก รองพื้น จะขายได้ไม่ดีนัก

แต่เรื่องราวเหล่านั้นเป็นอดีตไปแล้ว นวลพรรณกล่าวว่า ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อน จนถึงไตรมาส 1 ปีนี้ ยอดขายกลุ่ม Make up กลับมาโตแบบดับเบิลดิจิต โดยเฉพาะลิปสติกที่ขายดีสุดๆ สอดคล้องกับห้วงเวลาที่คนไทยเริ่มกล้าที่จะถอดหน้ากากอนามัย

บิวตี้ เครื่องสำอาง
Make up กลับมาขายดี โดยเฉพาะ “ลิปสติก”
5.ตลาดแมสยิ่งประหยัด ตลาดไฮเอนด์แพงไม่ว่าแต่ขอสิ่งที่ดีที่สุด

สุดท้ายคือพฤติกรรมที่มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ วัตสันพบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคแบ่งความเปลี่ยนแปลงได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

ตลาดแมส เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ทำให้การซื้อสินค้าจะเริ่มลดความถี่ลง เพราะลูกค้าพยายามใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นให้ได้นานขึ้น ใช้อย่างประหยัด

แต่ในทางกลับกัน ตลาดกลางบนจนถึงไฮเอนด์ แม้ซื้อสินค้าน้อยชิ้นลงแต่จะจ่ายในราคาแพงขึ้นต่อชิ้น หากเล็งเห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นของคุณภาพดี เพราะมองว่าคุ้มค่ากว่า

 

พร้อมแชร์ “ดาต้า” จับมือกับพาร์ทเนอร์ดันให้สินค้าขายดี

ดาต้าเหล่านี้วัตสันไม่ได้เก็บไว้คนเดียว แต่เป็นข้อมูลที่แชร์กับพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตสินค้าที่ลงจำหน่ายในร้าน เพื่อช่วยกันผลักดันให้สินค้าขายดีขึ้น หรือชี้เทรนด์การออกสินค้าใหม่ต่างๆ เช่น กระแส Make up ที่กลับมา วัตสันจะส่งสัญญาณไปที่เจ้าของแบรนด์ว่าลูกค้ากำลังหาสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ควรออกสินค้าใหม่ และทำคอนเทนต์การตลาด

วัตสันยังมีการฉลองความสำเร็จให้กับพาร์ทเนอร์ผ่านรางวัล Health Wellness and Beauty Awards (HWB) ด้วย โดยเป็นรางวัลที่มอบให้กับสินค้า 100 ชิ้นจาก 100 หมวดหมู่ที่ขายดีที่สุดในแต่ละปี เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานร่วมกันต่อไป

Eucerin Spotless Brightening Booster Serum 30 ml

โดยรางวัล HWB จะมีรางวัลใหญ่ที่สุดคือ รางวัล Best of the Best สินค้าที่ทำยอดขายสูงสุดกับวัตสัน และปี 2023 รางวัลนี้ตกเป็นของ Eucerin Spotless Brightening Booster Serum 30 ml จาก บริษัท ไบเออร์สด็อฟ (ประเทศไทย)

นวลพรรณกล่าวว่า รางวัล HWB นั้นมีจัดขึ้นมาร่วม 20 ปีแล้ว และมีจัดแยกในทุกๆ ตลาดจำนวน 15 ตลาดที่วัตสันเข้าไปลงทุน สินค้าที่ขายดีที่สุดก็มักจะเป็นภาพสะท้อนตลาดนั้นๆ ด้วย อย่างในประเทศไทยนั้นสินค้าที่เป็น Best of the Best ก็มักจะตกอยู่ในกลุ่มสกินแคร์เกือบทุกปี

“นวลพรรณ ชัยนาม” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย

การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์นั้นจะสร้างความสัมพันธ์ที่วิน-วิน คือเมื่อพาร์ทเนอร์นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ เข้ามาขายในร้าน วัตสันจะใช้ดาต้าจากระบบ CRM ช่วยให้พาร์ทเนอร์หาผู้บริโภคที่เหมาะสมกับลักษณะสินค้า และมีการทำโปรโมชันได้เหมาะสมกับรอบการซื้อ

“ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าประจำรายหนึ่งจะกลับมาที่ร้านทุกๆ 65 วันเพื่อซื้อสกินแคร์ เพราะเป็นรอบเวลาการใช้ผลิตภัณฑ์หนึ่งชิ้นจนหมดของเขา เมื่อใกล้ครบรอบเวลาวัตสันจะส่งโปรฯ พิเศษให้เพื่อดึงให้ลูกค้าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เดิมและซื้อกับวัตสัน” นวลพรรณอธิบาย

จากสินค้า 5,000 SKUs ในร้าน มีเพียง 100 SKUs เท่านั้นที่จะได้รับรางวัลแต่ละปี สินค้าที่ได้รางวัล HWB จึงการันตีได้ว่าเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยอมรับ โดยร้านยังร่วมกับพาร์ทเนอร์จัดโปรโมชันลดราคาสำหรับสินค้าที่ได้รางวัล HWB ด้วยที่ร้านวัตสัน ระหว่างวันที่ 9-29 มีนาคม 2566 แวะไปเช็กได้ว่ามีสินค้าไหนที่ได้รางวัลนี้บ้างที่นี่

]]>
1423484
สารพัดบริษัทกำลังแตกไลน์มารุมชิงเค้กตลาด “เครื่องสำอาง” ระดับ “ลักชัวรี” https://positioningmag.com/1348489 Wed, 25 Aug 2021 06:53:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348489 ไม่ใช่แค่แบรนด์ดั้งเดิมเท่านั้นที่อยู่ในตลาดนี้ บรรดาบริษัทอุปโภคบริโภค เสื้อผ้าแฟชั่น ไปจนถึงกลุ่มค้าปลีก ต่างแตกไลน์มาชิงส่วนแบ่งตลาด “เครื่องสำอาง” และ “สกินแคร์” ระดับลักชัวรี จากการเติบโตที่ทำได้ดีสวนกระแสเศรษฐกิจ

WWD รายงานการคาดการณ์ตลาดบิวตี้ปี 2021 น่าจะเติบโต 8.5% โดยเกิดจากแรงซื้อในตลาดลักชัวรีเป็นหลักมากกว่าเซ็กเมนต์อื่นๆ กลุ่มตลาดที่กำลังมาแรงนี้ ทำให้สารพัดบริษัทหันมาจับเทรนด์ ขยายสินค้าจากที่ตัวเองมีอยู่เดิม

บริษัทใหญ่รายหนึ่งที่เห็นผลสำเร็จไปแล้วคือ Unilever โดยทั้งเครือทำรายได้ครึ่งปีแรก 2021 เติบโต 5.4% อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดีในเครือคือ Unilever Prestige Beauty ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าสกินแคร์ เครื่องสำอาง ดูแลเส้นผม ระดับลักชัวรี สามารถเติบโตได้แบบ “ดับเบิล ดิจิต”

สกินแคร์ Paula’s Choice แบรนด์ที่ Unilever เพิ่งเทกโอเวอร์เข้าพอร์ต

แบรนด์ที่อยู่ในกลุ่ม Unilever Prestige ได้แก่ Dermalogica, Living Proof, Hourglass, Murad, Kate Somerville, REN skincare และล่าสุดบริษัทเพิ่งปิดดีลซื้อสกินแคร์แบรนด์ดัง “Paula’s Choice” มาไว้ในพอร์ตสำเร็จเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2021 โดยแบรนด์นี้มีความแข็งแรงมากในแง่การตลาดดิจิทัล เข้ากับยุคปัจจุบัน

 

แบรนด์แฟชั่นตบเท้าเข้าวงการ

ฝั่งสินค้าที่อยู่ในเซ็กเมนต์ระดับไฮเอนด์อยู่แล้วอย่างเสื้อผ้าแฟชั่น แต่เดิมมีแบรนด์ดังครองตลาดเครื่องสำอางและน้ำหอมอยู่แล้ว เช่น Dior, Chanel, YSL

แต่เมื่อตลาดเครื่องสำอางลักชัวรีหอมหวาน แบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว นับจากต้นปี 2020 ที่แบรนด์ Hermes เปิดตัวเครื่องสำอางชิ้นแรกในเครือเป็นลิปสติก 24 เฉดสี ตามด้วยปีนี้ Valentino บุกตลาดแบบเต็มตัว ด้วยการเปิดตัวเซตเครื่องสำอางแบบครบทั้งใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น ไฮไลต์ ลิปสติก บลัชออน ฯลฯ แบบมาทีเดียวกว่า 100 SKUs

 

ค้าปลีกออฟไลน์-ออนไลน์ร่วมวง

อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีชื่อในตลาดไฮเอนด์ ห้างสรรพสินค้าสุดหรู “Harrods” ในอังกฤษ เร่งเครื่องในตลาดบิวตี้ ส่งร้าน “H Beauty” เปิดตัวแยกออกจากห้างฯ ใน 3 เมือง คือ บริสตอล, เอดินเบิร์ก และเกทส์เฮด (เมืองทางใต้ของนิวคาสเซิล) เตรียมให้บริการปีหน้า ตามแผนการกระจาย “บริการระดับลักชัวรี” ไปตามหัวเมืองท้องถิ่น

H Beauty

นอกจากมีสินค้าบิวตี้ให้ทดลองและจำหน่ายแล้ว ประเด็นสำคัญคือร้าน H Beauty จะให้ “ประสบการณ์” ในการมาช้อปปิ้งด้วย เพราะมีห้องทำทรีทเมนต์ใบหน้า ทำผม และบาร์เสิร์ฟแชมเปญไว้รับรอง

ขณะที่แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซก็เข้ามาจับตลาดด้วย โดยอาศัยการคอลแลปกับแบรนด์อื่น ตัวอย่างเช่น Zalando ซึ่งเป็นอี-คอมเมิร์ซยุโรปเน้นจำหน่ายสินค้าแฟชั่นไฮเอนด์อยู่แล้ว เมื่อต้องการเจาะตลาดบิวตี้จึงเข้าไปจับมือกับ Sephora นำสินค้าเครื่องอางระดับบนกว่า 300 แบรนด์จำหน่ายบนแพลตฟอร์ม

น่าสนใจว่าตลาดบิวตี้จะเข้มข้นขึ้นแค่ไหน จากเดิมที่มีผู้นำตลาดบิ๊กเนมอยู่แล้วหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Nars, Lancôme, Dior Beauty, Chanel, Laura Mercier, Charlotte Tilbury, Estée Lauder, La Prairie, La Mer ฯลฯ

Source: WundermanThompson, Yahoo Finance

]]>
1348489
ถอดรหัส Multy Beauty “ร้านเครื่องสำอาง” สายเกา ที่มาแรงแบบ COVID-19 ก็ฉุดไม่อยู่ https://positioningmag.com/1304441 Wed, 04 Nov 2020 15:14:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304441 ถ้าคุณเป็นแฟนคลับเครื่องสำอางสไตล์เกาหลี ชื่อร้าน Multy Beauty น่าจะเคยผ่านตาคุณมาบ้าง เพราะร้านนี้คือร้านเครื่องสำอาง” มัลติแบรนด์ที่มาพร้อมสโลแกน “เหมือนยกเมียงดงมาไว้ที่นี่” ภายในเวลา 3 ปีขยายตัวไปแล้ว 4 สาขาพร้อมยอดขายที่เติบโตไม่สน COVID-19 โดยผู้ก่อตั้งร้านนี้เป็นเภสัชกรหญิงวัย 35 ปี ที่รักเครื่องสำอางเกาหลีจนตัดสินใจเปิดร้านขายเองเลยละกัน!

Multy Beauty เป็นร้านเครื่องสำอางสไตล์เกาหลีที่มาแรงมากในช่วงที่ผ่านมา โดยอาศัยสื่อออนไลน์เป็นฐานในการทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในเวลา 3 ปีเปิดไปแล้ว 4 สาขา ที่สยามสแควร์ซอย 5, ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, วิคตอรี่ฮับ อนุสาวรีย์ชัยฯ และเมกา บางนา

ปัจจุบัน Multy Beauty หรือที่ลูกค้ามักเรียกกันสั้นๆ ว่า “มัลตี้” มีผู้ติดตามบัญชี IG กว่า 4.2 แสนคน และผู้ติดตาม Twitter อีกกว่า 1 แสนคน ที่มาแรงขนาดนี้เพราะอะไร Positioning จะพาไปคุยกับ “ภญ.ไพลิน อึ๊งพลาชัย” ผู้ก่อตั้ง บริษัท มัลตี้บิลตี้ จำกัด ขึ้นเมื่อปี 2560

“ตอนแรกเราทำงานเป็นเภสัชกรในบริษัทยาแห่งหนึ่งค่ะ สมัยนั้นร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์มีอยู่เยอะแล้ว แต่เวลาเราเข้าไปจะไม่ค่อยมีของที่เราชอบคือพวกเครื่องสำอางเกาหลี ไม่ค่อยมีคนนำเข้า” ภญ.ไพลินกล่าว

เธออธิบายว่า ยุคนั้นเครื่องสำอางเกาหลียังถือว่าเป็น “นิชมาร์เก็ต” ถ้าเทียบกับเครื่องสำอางตะวันตกหรือไทยซึ่ง
“แมส” มากกว่า มีโอกาสขายสูงกว่า ผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องสำอางเกาหลีมักจะต้องสั่งจากร้านออนไลน์ ซึ่งมีปัญหาคือการจัดส่ง หลายครั้งสินค้าแตกหัก เสี่ยงที่จะได้ของปลอม และไม่ได้เทสต์สินค้าก่อนว่าเข้ากับตัวเองหรือไม่

“เราก็เลยเปิดร้านเองเลย ร้านแรกเป็นร้านเล็กมากๆ ใต้โรงหนังลิโด้ มีคูหาแค่ 3 เมตร x 3 เมตร คือลูกค้าเดินเข้าไป 4 คนก็เต็มร้านแล้ว แต่ปรากฏว่าเปิดได้เดือนเดียวฮิตมากๆ จนเราขยายร้านใหญ่ขึ้นได้ และอีก 8-9 เดือนต่อมาก็ไปเปิดสาขาที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิตได้เลย”

 

ร้านเฉพาะทาง – KOLs พลังมด – โปรโมชันโดนๆ

เราขอถอดสูตรความสำเร็จของ “มัลตี้” จากการพูดคุยกับภญ.ไพลิน สรุปปัจจัยสำคัญ 3 อย่าง ที่ทำให้ธุรกิจปักหลักเติบโตไวแบบนี้

หนึ่ง คือ Multy Beauty เป็นร้านเฉพาะทาง ด้วยสโลแกน “เหมือนยกเมียงดงมาไว้ที่นี่” ทำให้เห็นชัดเจนทันทีที่เข้าไปในร้านว่าขายสินค้าสไตล์ไหน เพราะเกือบทั้งร้านจะเป็นเครื่องสำอางเกาหลี ซึ่ง ภญ.ไพลิน มองว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีคู่แข่งโดยตรง แต่จะมีคู่แข่งที่เริ่มขายสินค้าเกาหลีแบรนด์เดียวกันบ้างแล้ว

Multy Beauty สาขาเมกา บางนา ปัจจุบันเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด พื้นที่ 200 ตร.ม.

“วิธีเลือกของลงร้านเราก็ดูตามคนเกาหลีเลยค่ะ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้จะทำตามเทรนด์ที่เกาหลีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นที่เกาหลีมีอะไรเป็นกระแส ที่นี่ต้องมีขาย” ภญ.ไพลินกล่าว “ส่วนหนึ่งก็จะใช้ Gut Feeling ในการดูว่าอะไรกำลังเป็นกระแส แต่พอเปิดร้านมานานถึงตอนนี้เราก็เริ่มมีฐานดาต้าแล้วว่าที่ผ่านมาอะไรขายดี อะไรขายไม่ดี”

สอง คือ KOLs หรือ Key Opinion Leaders บนโลกออนไลน์ เห็นได้ชัดว่ามัลตี้จะเลือกใช้ KOLs รีวิวสินค้าในร้าน โดยเป็นคนที่ไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์เบอร์ต้นที่มีผู้ติดตามหลักล้าน แต่เลือกคนที่มีผู้ติดตามหลักพันจนถึงหลักหมื่นมากกว่า ซึ่งทำให้การรีวิวดู “เรียล” และเชิญชวนให้ไปซื้อจริง

“เราใช้ KOLs แบบ ‘พลังมด’ มากกว่าใช้อินฟลูเอนเซอร์เบอร์ใหญ่ เพราะตอนนี้คนที่ดังมากๆ คนตามก็เริ่มไม่เชื่อรีวิวแล้ว แล้วเราโตมาจากคนรีวิวเองแบบเรียลจริงๆ สมัยแรกที่เปิดร้านแล้วมีอินฟลูเอนเซอร์มาร้าน เราก็เลือกเครื่องสำอางให้ไปรีวิวเลยและขอให้รีวิวตามที่เขาใช้จริง” ภญ.ไพลินกล่าว

เน้นใช้ KOLs รายกลาง-รายเล็กเป็นฐานการตลาด (Photo : Twitter@iamreviews)

สาม คือ โปรโมชัน ร้านมัลตี้จะมีการจัดโปรโมชันตลอดเวลา แต่ทุกเดือนจะหมุนเวียนเปลี่ยนประเภทสินค้าที่ลดราคากันไป และโปรโมชันต้อง “แรงจริง” เพื่อให้ลูกค้าตื่นเต้น แค่แวะเข้ามาเดินเล่นที่ร้านแต่กลายเป็นได้สินค้าติดไม้ติดมือกลับไป เพราะราคาที่ลดทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องซื้อ

เมื่อสร้างฐานแบรนด์ของร้านจนชัดเจนแล้วว่าเป็น “สายเกา” และมีคนติดตามจำนวนมาก ทำให้แบรนด์เกาหลีที่ต้องการบุกตลาดไทย เริ่มหันมอง Multy Beauty ในฐานะ Exclusive Partner มีหลายแบรนด์ที่อาศัยมัลตี้เป็นช่องทางปล่อยของล็อตแรกเพื่อให้ติดตลาดก่อน

ภญ.ไพลินยกตัวอย่าง Ample N แบรนด์สกินแคร์ชื่อดังแห่งปี เธอเล่าว่าแบรนด์นี้เข้ามาเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2562 กับร้านมัลตี้ และกลายเป็นกระแสทันที Ample N ขายได้เดือนละ 8-10 ล้านบาทในช่วง 3-4 เดือนแรก ซึ่งทำให้แบรนด์สามารถเข้าไปขายในร้านอื่นต่อได้เมื่อหมดสัญญากับมัลตี้

 

COVID-19 ไม่ระคายผิว เพราะผู้หญิงไม่เคยหยุดสวย

ด้านความสำเร็จเชิงตัวเลข ภญ.ไพลินกล่าวว่า ปี 2562 มัลตี้มียอดขายประมาณ 300 ล้านบาท และคาดว่าปี 2563 น่าจะเติบโต 10-20% พร้อมวางเป้าปี 2564 เติบโต 50% เพราะจะมีการเปิดสาขาใหม่

แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่โหดหินสำหรับเกือบทุกธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจเครื่องสำอางกลับต้องสะดุดเพราะ COVID-19 ยกตัวอย่างรายใหญ่ “ลอรีอัล กรุ๊ป” เปิดเผยว่าไตรมาส 1/63 ยอดขายเครื่องสำอางของบริษัทลดลง -4.8% และทั้งตลาดลดลง -8% ซึ่งเหตุผลก็เดาได้ไม่ยาก เพราะเมื่อคนออกจากบ้านน้อยลงก็ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้า หรือถ้าออกมาข้างนอกก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย ทำให้เครื่องสำอางบางชิ้น เช่น ลิปสติก มีการใช้งานน้อยลง

ร้านมัลตี้เน้นสื่อสารกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (Photo : IG@multybeauty__)

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับไม่เกิดขึ้นกับ Multy Beauty โดย ภญ.ไพลิน เล่าว่า ในช่วงล็อกดาวน์ปิดศูนย์การค้า ยอดขายของร้านไม่ตกลงเลย เพียงแต่ย้ายไปโตบนออนไลน์ และลูกค้าเปลี่ยนสินค้าที่ซื้อเท่านั้น

“ลูกค้าเราอยู่บ้านก็ไม่หยุดสวย แต่เปลี่ยนสินค้าที่ขายดีไป ตอนนี้ Top 3 ที่ขายดีจะเป็น “ลิปสติก” ยังมาอันดับ 1 “สกินแคร์” มาอันดับ 2 ส่วนใหญ่จะเน้นไวท์เทนนิ่งกับกลุ่มช่วยลดสิว สุดท้ายที่มาแรงมากในช่วงนี้คือ “ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม” โดยเฉพาะกลุ่มเปลี่ยนสีผม” ภญ.ไพลินกล่าว

สกินแคร์กลายเป็นสินค้ามาแรงหลังจากเกิด COVID-19 ระบาด โดยเฉพาะ ANUA Heartleaf 77% Soothing Toner หรือ “โทนเนอร์พี่จุน” ที่ทางมัลตี้บอกว่า ลงขายเท่าไหร่ก็หมดทุกล็อต

เธอมองว่า เป็นโชคดีที่มัลตี้เป็นร้านใหม่และดำเนินกลยุทธ์ Omnichannel มาตั้งแต่แรก คือเน้นการสื่อสารออนไลน์กับลูกค้า ดึงให้ลูกค้ามาเลือกชมสินค้าที่ร้านและซื้อกลับไป หรือถ้าไม่สะดวกก็สามารถปิดการขายบนออนไลน์ได้เลย โดยมีช่องทางทุกรูปแบบตั้งแต่เว็บไซต์ www.multybeauty.com, Line@, Facebook, IG, Twitter และมาร์เก็ตเพลส เช่น Lazada, Shopee

“ช่วงนั้นหน้าร้านต้องปิดไปแต่ยอดขายเราไม่ตก จนพนักงานหน้าร้านเราทุกคนได้เปลี่ยนหน้าที่มา Live ขายของแทน กับช่วยแพ็กสินค้าส่งซึ่งทำกันแทบไม่ทัน”

 

เปิดอีก 2 สาขาปีหน้าแบบไม่หวั่นเศรษฐกิจ

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักขณะนี้ ภญ.ไพลินกล่าวว่าจะเป็นหนุ่มสาววัย 18-24 ปีเป็นหลัก แต่ที่สาขาเมกา บางนา กลุ่มลูกค้าจะโตกว่า ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน ทำให้สินค้าจะแตกต่างบ้าง เช่น มีสินค้ากลุ่มเคาน์เตอร์แบรนด์ น้ำหอม จำหน่ายในร้าน

แม้กลุ่มลูกค้าจะคาบเกี่ยววัยเรียนเสียส่วนมาก แต่เธอบอกว่านี่คือลูกค้าที่มีกำลังซื้อไม่น้อย โดยปัจจุบันมูลค่าต่อการซื้อหนึ่งครั้ง (Basket Size) เฉลี่ยอยู่ที่ 600-800 บาท แล้วแต่สาขา

Multy Beauty สาขาวิคตอรี่ฮับ อนุสาวรีย์ชัยฯ

ความแข็งแรงของตลาดทำให้มัลตี้จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 1-2 สาขาในปี 2564 ขณะนี้อยู่ระหว่างเลือกทำเล โดยจะเป็นทำเลในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดว่าจะเป็นย่านชานเมืองที่กลุ่มลูกค้ามีศักยภาพ และเป็นพื้นที่ที่มีทราฟฟิกมากพอ

ที่ไม่เลือกลงสาขาย่านใจกลางเมืองอีก เพราะมองว่าการเดินทางกลางเมืองสะดวกอยู่แล้ว ลูกค้าไปสยาม-อนุสาวรีย์ชัยฯ ได้ง่าย ชานเมืองจึงมีโอกาสมากกว่าที่จะเปิดกลุ่มลูกค้าใหม่ ส่วนสาขาต่างจังหวัดนั้นขอรอสร้างทีมให้แข็งแรงก่อนอีก 2-3 ปีอาจจะเริ่มขยายตัว

เมื่อถามว่าในช่วงแรกก่อตั้ง เป็นความตั้งใจหรือไม่ที่จะขยายตัวได้หลายร้อยล้านบาท ผู้ก่อตั้ง Multy Beauty ตอบว่า “คิดไว้แล้วว่าต้องโต แต่ไม่คิดว่าจะโตเร็วขนาดนี้”

“เรารู้ว่าบริษัทจะโตได้ เพราะเครื่องสำอางเป็นสิ่งที่อย่างไรคนก็ต้องใช้” ภญ.ไพลินกล่าว “ถึงแม้ร้านเครื่องสำอางจะเยอะก็จริง แต่มันยังมีช่องว่าง ถ้าเรามองเห็นช่องว่างตรงนั้นเราก็มีโอกาส”

]]>
1304441
โอกาสใหม่ กลุ่ม Uniqlo ลุยตลาด “เครื่องสำอาง” เจาะลูกค้ามีปัญหาผิว เมื่อต้องใส่หน้ากากนานๆ https://positioningmag.com/1293355 Wed, 19 Aug 2020 12:29:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293355 ธุรกิจเสื้อผ้าเเฟชั่น กำลังลองหาตลาดใหม่หลังเห็นโอกาสช่วงวิกฤต COVID-19 ล่าสุดเเบรนด์ GU หนึ่งในธุรกิจลูกของ Fast Retailing ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Uniqlo ขอลุยสายเครื่องสำอางอย่างเต็มรูปแบบในญี่ปุ่น

GU เป็นเเบรนด์เสื้อผ้าที่ได้รับความนิยมจากจุดเด่นคือ ความเข้าถึงง่าย ทันสมัยเเละราคาไม่เเพงนัก (ถูกกว่า Uniqlo) กำลังจะเปิดตัวเเบรนด์เครื่องสำอางครั้งเเรกในชื่อ #4me by GU ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 4 ..นี้ โดยไลน์สินค้าที่จะผลิตในล็อตเเรกๆ ได้แก่ ลิปสติก 8 เฉดสี และอายแชโดว์ 4 เฉดสี วางจำหน่ายในราคา 649 เยน (ราว 192 บาท รวมภาษีเเล้ว) ตามสาขาใหญ่ๆ ของร้าน GU ในญี่ปุ่นและทางออนไลน์

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่ม Uniqlo ตัดสินใจลงมาเเข่งในตลาดเครื่องสำอางญี่ปุ่น ก็เพราะว่าในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้คนจำนวนมากต้องประสบปัญหาปากแห้งเเละผิวแห้ง เนื่องจากต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน ถือเป็นโอกาสที่จะเข้าไปทำตลาดได้

โดยเครื่องสำอางของ GU จะมีการเพิ่มมอยส์เจอไรเซอร์ด้วย camellia oil หรือน้ำมันเมล็ดชา ซึ่งหาได้ในท้องถิ่น เข้าไปผสมในผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เเละหากมีกระเเสตอบรับที่ดีก็จะมีการขยายไลน์สินค้าเครื่องสำอาง #4me by GU ต่อไป

Fast Retailing มองว่า การขยายธุรกิจไปสู่ตลาดเครื่องสำอางจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ เเละกระตุ้นยอดขายโดยรวมของบริษัท อีกทั้งยังทำให้เเบรนด์มีความครบวงจรด้านเเฟชั่นมากขึ้น ด้วยการมีทั้งการเเต่งตัวเเละการเเต่งหน้า

 

 

ที่มา : Japantimes , Jiji Press

]]> 1293355 ล้มเเล้วลุก! “ธุรกิจเครื่องสำอาง” ในจีนเริ่มฟื้นตัว หลังเจอ COVID-19 เเบรนด์บุกขายออนไลน์ https://positioningmag.com/1273014 Mon, 13 Apr 2020 12:09:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1273014 ธุรกิจเครื่องสำอางในจีนกำลัง “ฟื้นตัว” อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้คนเริ่มกลับมาทำงานเเละผู้ค้าปลีกเริ่มกลยุทธ์บุกตลาดออนไลน์เต็มที่ หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อสกัดการเเพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

Anne Ling นักวิเคราะห์ของธนาคารเพื่อการลงทุน Jefferies เปิดเผยว่ายอดขายเครื่องสำอางในจีน “ปรับตัวดีขึ้น” เเม้จะยังลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับยอดค้าปลีกอื่นๆ เเต่ถือว่าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือน ก.พ. ที่ยอดขายลดลงถึง 60-80% เนื่องจากผู้คนต้องอาศัยอยู่เเต่ในบ้าน ไม่มีกิจกรรมสังสรรค์ ทำให้ความต้องการใช้เครื่องสำอางก็ลดลงตามไปด้วย

ยกตัวอย่างบริษัทเครื่องสำอางที่เกือบจะต้องปิดกิจการ เเต่ก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้คือเเบรนด์ Lin Qingxuan ที่ตอนนี้มียอดขายพุ่งขึ้นถึง 120% หลังจากติดลบกว่า 90% ในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ซึ่งเคยเป็นช่วงที่ทำยอดขายได้สูงสุดในทุกปี

Sun Laichun ผู้ก่อตั้ง Lin Qingxuan แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่มีสาขากว่า 300 แห่งทั่วประเทศจีน ให้สัมภาษณ์กับ scmp ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้เขากำลังจะ “ล้มละลาย” จากยอดขายหน้าร้านในเดือน ม.ค.ที่ลดลงกว่า 90% จึงต้องปรับกลยุทธ์ไปขายสินค้าออนไลน์เเละทุ่มการโปรโมทบนแพลตฟอร์มสตรีมมื่งและโซเชียลมีเดีย

ผลออกมาดีเกินคาด บริษัทของเขาสามารถขายน้ำมันดอกคามิเลีย ซึ่งเป็นสินค้าหลักของแบรนด์ได้ถึง 400,000 ขวด ภายในเวลา 2 ชั่วโมงในวันวาเลนไทน์ และในวันที่ 1-8 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสตรีสากล ยอดขายในออนไลน์
ยังเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า

ขณะที่ยอดขายของ “มาสก์หน้า” และ “คลีนซิ่งล้างเครื่องสำอาง” บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังของจีนอย่าง Pinduoduo ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

“ยอดขายลิปสติก อายแชโดว์ เเละดินสอเขียนคิ้ว ก็มีอัตราการเติบโตที่ดีเช่นกัน แต่จำนวนการสั่งซื้อยังไม่มากนัก ส่วนสินค้าในกลุ่มราคาระดับกลางมียอดขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว” Pinduoduo ระบุ

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2020 ยอดขายเครื่องสำอางในจีนลดลง 14.1% อยู่ที่ 3.87 หมื่นล้านหยวน ( ราว 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมือเทียบกับยอดค้าปลีกโดยรวมที่ลดลง

ด้านข้อมูลของ ECdataway ผู้ให้บริการข้อมูลอีคอมเมิร์ซในเซี่ยงไฮ้ พบว่ายอดขายเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบนแพลตฟอร์ม T-mall เพิ่มขึ้น 89.5% ในเดือน มี.ค. ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น 56%
ส่วนอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพิ่มขึ้น 46%

Chen Ke นักวิเคราะห์ของ Roland Berger ให้ความเห็นว่า ผลกระทบของ Covid-19 ที่มีต่อยอดขายเครื่องสำอาง “น่าจะเป็นระยะสั้น”

สำหรับตลาดความงามและการดูแลตัวเองของจีน มีมูลค่าสูงถึง 4.7 เเสนล้านหยวนในปี 2019 เพิ่มขึ้น 9% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายในการซื้อ “เครื่องสำอาง” ของชาวจีน เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 30 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 น้อยกว่าชาวญี่ปุ่นที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 202 ดอลลาร์ต่อคน เเละชาวอเมริกันที่มีการใช้จ่ายอยู่ที่120 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน

ที่มา : China cosmetics sales rebound in March as coronavirus outbreak proves to be a temporary setback

]]>
1273014
การตลาดฉบับ Kylie Jenner ปิดดีลขายหุ้นใหญ่ Kylie Cosmetics มูลค่า 18,000 ล้าน https://positioningmag.com/1254332 Wed, 20 Nov 2019 17:58:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254332 ข่าวดังสะเทือนวงการบิวตี้ส่งท้ายปี หลังเซเลบริตี้สาวคนดังเเห่งบ้านคาร์เดเชี่ยน “Kylie Jenner” เศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดจากการจัดอันดับของ Forbes ปิดดีลขายหุ้นใหญ่ Kylie Cosmetics ให้กับ COTY ในสัดส่วน 51% ด้วยมูลค่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว18,126 ล้านบาท) ส่งผลให้มูลค่าบริษัทของ Kylie เพิ่มขึ้นแตะ 1.2 พันล้านเหรียญ

อาณาจักรธุรกิจเครื่องสำอาง Kylie Cosmetics ไม่มีแผ่วลงตามกระเเสข่าวเเละยังคงเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ เเละดีลนี้คือจุดก้าวกระโดดที่น่าจับตามองที่สุด…

ยุคเเห่งความงามโซเชียล 

นับตั้งเเต่ Kylie เปิดตัวเเบรนด์ เมื่อปี 2015 โดยเริ่มต้นจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ก่อน เเละได้สร้างปรากฎการณ์การตลาดความงามบน “โซเชียลมีเดีย” ด้วยชุด “Lip Kit” ราคา 29 เหรียญสหรัฐฯ ประกอบด้วยลิปสติกและดินสอเขียนริมฝีปาก โดยสามารถจำหน่ายสินค้าได้มากกว่า 630 ล้านเหรียญตั้งแต่เปิดตัว รวมรายได้ประมาณ 330 ล้านเหรียญในปี 2017 เเม้จะหักตัวเลขรายได้ทั้งหมดลงอีก 20% ตามมาตรฐานการคำนวณของ Forbes ก็ตามเเละยังได้ประเมินค่าบริษัทของเธอที่เพิ่มไลน์สินค้าใหม่เป็น 800 ล้านเหรียญ โดย Kylie Cosmetics ยังทำเงินต่อเนื่องมาตลอด 4 ปี เเละเธอครองสิทธิ์เป็นเจ้าของแบรนด์เบ็ดเสร็จ 100% ไม่มีหุ้นส่วน

ยังไม่หมด หากรวมรายได้ส่วนเเบ่งจากรายการโทรทัศน์ชื่อดังของครอบครัวเธออย่าง “Keeping Up with the Kardashians” และพรีเซนเตอร์ให้รองเท้า Puma และแบรนด์เสื้อผ้า PacSun อีกทั้งเงินปันผลหลังหักภาษีที่ได้จากบริษัทของเธอเองที่ประมาณ 60 ล้านเหรียญ Kylie มีทรัพย์สินกว่า 900 ล้านเหรียญจากการประเมินของ Forbes ส่งผลให้เธอกลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยในโลกประจำปี 2019 ด้วยวัยเพียง 21 ปี เหนือกว่า Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งสื่อสังคมออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง Facebook ที่มีทรัพย์สินระดับมหาเศรษฐีเมื่ออายุ 23 ปี

ลงสนามตลาดออฟไลน์ เอาใจเเฟนคลับ

การตลาดของเเบรนด์ Kylie Cosmetics นั้นไม่ธรรมดา นอกจากใช้ชื่อเสียงวงการบันเทิงเเละอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมแห่งยุค Instagram ที่เฉพาะของเธอคนเดียวก็มีผู้คิดตามกว่า 151 ล้านคนเเล้ว (ไม่รวมพี่สาวนางเเบบ Kendall Jenner มีผู้ติดตาม 118 ล้านคนเเละทั้งครอบครัวอีกจำนวนมหาศาล)

เธอเลือกต่อยอดแบรนด์เครื่องสำอาง ด้วยการเลือกจำหน่ายออฟไลน์ผ่านทางร้านค้าชื่อดังของอเมริกาอย่าง Ulta ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้หลากลายขึ้น โดยนักการตลาดมองว่า การที่ Kylie เลือกขายผ่านร้านค้าของ Ulta ถือว่าฉลาดมาก เพราะเป็นเครือข่ายที่เข้าถึงวัยรุ่นเเละ Young Adults ที่เป็นเเฟนคลับกลุ่มหลักของเธอมากกว่าการเลือกลงขายสินค้ากับคู่เเข่งอย่าง Sephora ซึ่งขายสินค้าที่มีราคาเเพงกว่า

ส่วนการดึงคนไปซื้อในร้านออฟไลน์นั้นเธอเพียงเเค่พูดถึงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย คนก็เห่ไปซื้อจนเกลี้ยง เเทบจะใช้เงินกับการโฆษณาหรือทำมาร์เก็ตติ้งเเบบดั้งเดิมน้อยมากเมื่อเทียบการเเบรนด์ความงามระดับโลกรายอื่น โดย COTY เผยว่า Kylie Cosmetics สร้างยอดขายได้มากถึง 177 ล้านเหรียญในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

kylie

จับตาหลังขายหุ้นใหญ่ จะมีอะไรเซอร์ไพรส์ ? 

การขายหุ้นให้กับ COTY บริษัทเจ้าของแบรนด์ด้านความงามชั้นนำครั้งนี้ลือกันมาตั้งเเต่ช่วงต้นปี เเละในที่สุดก็ได้รับการยืนยัน เมื่อทาง COTY ประกาศแถลงการณ์เกี่ยวกับข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกับ Kylie Cosmetics โดยจะเข้ามาถือหุ้นใหญ่กว่า 51% เเละจะเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 โดย COTY จะกลายเป็นผู้พัฒนา ผลิตและจัดจำหน่าย Kylie Cosmetics ออกสู่ตลาดใหม่ทั่วโลก

ขณะที่ทาง Kylie ก็คอนเฟิร์มผ่านทวิตเตอร์ว่า “ฉันตั้งตารอที่เห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นกับแบรนด์ Kylie Skin และ Kylie Cosmetics ฉันตื่นเต้นมากที่ได้พาร์ทเนอร์กับ Coty Inc. เพื่อขยายแบรนด์ของฉันไปสู่ตลาดทั่วโลกมากขึ้น เเละนี่ก็เป็นเเค่การเริ่มต้นเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม Kylie วัย 23 ปีและทีมงานเดิมจะยังคงการสร้างสรรค์เเละพัฒนาเเบรนด์นี้เหมือนเดิม รวมถึงการโปรโมทผ่านช่องทางต่างๆ

ภายหลัง COTY การประกาศข่าวการเข้าถือหุ้นใหญ่ของ Kylie Cosmetics ออกไป หุ้นของ COTY ก็ขึ้นสูงสุดถึง 6% โดยปัจจุบันมีสินค้าเพื่อความสวยงามในเครือกว่า 77 แบรนด์ ครอบคลุมตั้งแต่น้ำหอม เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงเล็บ เสื้อผ้า อย่างเช่น Marc Jacobs, Gucci , Mui Mui Chloé, Burberry Beauty, Hugo Boss, OPI, Covergirl เเละ GHD เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน COTY มีมูลค่าบริษัทราว 9.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

 

Photo: Kylie Cosmetics , ultabeauty via Instagram

Source
Source
Source
Source
Source

 

]]>
1254332
เครื่องสำอางไทย 2 แสนล้านยังโตได้อีก เกาหลีชูเทรนด์ “เวชสำอาง-ออร์แกนิก” เจาะตลาด https://positioningmag.com/1238841 Thu, 11 Jul 2019 14:12:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1238841 ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรจีดีพี” จะโตหรือไม่โต แต่ตลาดเครื่องสำอางไม่เคยได้รับผลกระทบ เพราะเป็นหนึ่งในสินค้าจำเป็นของสาวไทยที่ต้องจับจ่าย ทั้งแบรนด์ระดับโลกและแบรนด์ไทยต่างเห็นโอกาสชิงเค้กมูลค่า 2 แสนล้านบาท ที่ยังโตได้อีก

ฮโย ชุน ยุน รองประธาน บริษัทคินเท็กซ์ (KINTEX-Korea International Exhibition Center) ผู้จัดงาน K-Beauty Expo งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีความงามและเครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เกาหลีส่งออกเครื่องสำอางมาทำตลาดสูงสุดเป็นอันดับ 6-7 แน่นอนว่าอันดับ 1 คือ จีน ซึ่งมีกำลังซื้อมหาศาล

ฮโย ชุน ยุน

ปี 2562 คาดว่าตลาดเครื่องสำอางไทยจะมีมูลค่า 2 แสนล้านบาท เติบโต 5% ตลาดเครื่องสำอางไทยมีผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มทั้งตลาดบนและตลาดล่าง ทำให้มีหลากหลายแบรนด์และบริษัททั่วโลกเข้ามาทำตลาดในไทย

สำหรับเทรนด์เครื่องสำอางเกาหลี ที่กำลังได้รับความสนใจ มี 3 กลุ่มหลัก คือ เวชสำอาง (Cosmeceuticals) ที่ช่วยดูแลผิว ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใดก็ตามมักจะเป็นสูตรเกี่ยวกับเวชสำอางจำนวนมาก, กลุ่มออร์แกนิก ส่วนผสมจากธรรมชาติ นิยมแต่งหน้าตามสไตล์ Nature Look และกลุ่ม All In One คือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมหลายสูตร ใช้เพียงไม่กี่อย่างได้ครบคุณสมบัติ เช่น เมคอัพผสมครีมบำรุง ซึ่งเทรนด์ดังกล่าวมีหลายแบรนด์ที่จะเข้ามาทำตลาดในไทย

ตลาดเครื่องสำอางในเกาหลีมีกว่า 2,000 แบรนด์ และมีแบรนด์เกิดใหม่ทุกปี แม้แต่บริษัทยักษ์ด้านอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง LG ก็ยังมีธุรกิจเครื่องสำอาง นับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมเครื่องสำอางในเกาหลีเติบโตปีละ 25-30% ถึงปัจจุบัน อัตราการเติบโตสูงกว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ด้วยซ้ำ หนึ่งในตลาดสำคัญที่ทำให้เติบโต คือ การส่งออกแบรนด์เครื่องสำอาง และการผลิตโออีเอ็ม

ขณะที่ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของธุรกิจความงามและเครื่องสำอางสูงสุดของอาเซียน และเป็นตลาดที่นิยมแบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีอย่างมาก คินเท็กซ์ จึงเข้ามาจัดงานแสดงสินค้า K-Beauty Expo Korea ครั้งแรกในปี 2559 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยจัดร่วมกับงาน “Bangkok Beauty Show” ซึ่งมีเป้าหมายขยายตลาดสู่อาเซียน

สำหรับการจัดงานปีนี้ มีผู้ประกอบการตลาดความงามกว่า 200 แบรนด์ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทย มาร่วมออกบูธ มีผู้ซื้อกว่า 200 ราย ทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมงาน คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานทั้งคนไทยและต่างประเทศกว่า 10,000 คน มีเม็ดเงินสะพัด 1,000 ล้านบาท ในช่วงการจัดงานวันที่ 11-13 ก.ค.นี้ที่ศูนย์ประชุมไบเทค

]]>
1238841
ถอดรหัสตลาดเครื่องสำอางเวียดนาม ทำไมโตได้โตดี https://positioningmag.com/1179925 Mon, 23 Jul 2018 06:03:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1179925

]]>
1179925